Digital Gold: Bitcoin and The Inside Story of The Misfits and Millionaires Trying to Reinvent Money (2015)
by Nathaniel Popper
“The creator of Bitcoin, Satoshi, disappeared back in 2011, leaving behind open source software that the users of Bitcoin could update and improve. Five years later, it was estimated that only 15 percent of the basic Bitcoin computer code was the same as what Satoshi had written.”
ในโลกปัจจุบันนี้ แทบจะไม่มีใครไม่รู้จักสุดยอดนวัตกรรมทางการเงินแห่งยุคอินเตอร์เน็ตอย่าง Bitcoin ผู้เป็นต้นกำเนิดของเทคโนโลยีชั้นยอดอย่าง Blockchain แต่หารู้ไม่ว่าก่อนที่สกุลเงิน Bitcoin สามารถเติบโตจนกลายมาเป็น “ฟองสบู่สกุลเงินดิจิตอล” ในยุคปัจจุบันนี้ จุดเริ่มต้นของ Bitcoin นั้นเต็มไปด้วยความท้าทายและความโกลาหลที่ทั้งน่าสนใจและตื่นตระหนกไปพร้อมๆกัน
Digital Gold คือหนังสือที่เล่าเรื่องราวของต้นกำเนิดของสกุลเงิน Bitcoin ผ่านเหล่านักพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์และนักลงทุนหัวใสผู้มีส่วนช่วยให้สกุลเงินแห่งนี้เติบโตอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่ปีจนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นสกุลเงินที่พร้อมจะท้าทายระบบการเงินโลกได้ในโลกยุคปัจจุบัน
ผู้เขียน Nathaniel Popper นักข่าวประจำ The New York Times (ขอบคุณภาพจาก Bitsonline)
Chapter 01:
ในเดือนมกราคมปี 2009 อีเมล์ฉบับหนึ่งจากบุคคลปริศนาที่ใช้ชื่อว่า “Satoshi Nakamoto” ได้ถูกส่งมาให้กับโปรแกรมเมอร์ชื่อ Hal Finney
ในอีเมล์ฉบับนี้ Satoshi ได้พูดถึง “e-cash” หรือสกุลเงินออนไลน์ที่ถูกสร้างและเก็บรักษาไว้โดยคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานทั่วโลกโดยไม่ต้องผ่านระบบการเงินของรัฐบาลและธนาคารต่างๆอีกต่อไป
สกุลเงินดิจิตอลแห่งนี้มีชื่อว่า “Bitcoin”
Satoshi Nakamoto ได้ส่งโปรแกรมต้นแบบของ Bitcoin ให้กับ Hal Finney เพื่อทดลองใช้งานระบบและสร้างเงิน Bitcoin ขึ้นมาด้วยการเปิดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกออกแบบสำหรับการ “ขุด Bitcoin” โดยเฉพาะ ซึ่งโปรแกรมนี้จะทำหน้าที่ “แข่ง” ไขรหัสโจทย์คำถามทางคณิตศาสตร์ที่ระบบสร้างขึ้นที่มีรางวัลเป็นเงิน Bitcoin สำหรับคอมพิวเตอร์เครื่องที่สามารถไขคำถามนี้ได้สำเร็จเป็นเครื่องแรก
ในยุคที่อินเตอร์เน็ตกำลังเติบโต ประชาชนเริ่มมีอำนาจจาก “Big Brother” หรือส่วนกลางมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันการเข้าถึงข้อมูลลับของส่วนกลางก็มีมากขึ้น แนวคิดการสร้างระบบป้องกันความเป็นส่วนตัวต่างๆจึงเกิดขึ้นมา รวมถึงระบบส่งข้อความใส่รหัสที่เครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ไม่สามารถไขได้ชื่อ Public-key cryptography ที่ Hal มีส่วนช่วยพัฒนา
เหล่าองค์กรแห่งโลกอนาคตได้มองเห็นปัญหาความเป็นส่วนตัวของระบบการเงิน อาทิ การใช้ข้อมูลบัตรเครดิตเพื่อตามรอยการใช้ชีวิตของผู้ถือบัตร นำพามาสู่แนวคิดการสร้างระบบการเงินที่ปิดบังตัวตนของผู้ใช้งาน หนึ่งในแนวคิดถูกพัฒนาขึ้นมาใช้งานจริงชื่อ DigiCash ซึ่งเป็นระบบการเงินออนไลน์ที่ผูกไว้กับบริษัทส่วนกลางที่สัญญาว่าจะไม่เปิดเผยข้อมูลธุรกรรมใดๆ แต่ก็ต้องปิดตัวลงไปในที่สุดเมื่อบริษัทล้มละลายในปี 1998
แนวคิดการทำระบบสกุลเงินออนไลน์อย่างยั่งยืนนั้นจึงต้องเป็นระบบที่ได้รับการออกแบบให้เป็นระบบแบบ Decentralized หรือไม่ผูกไว้กับองค์กรใดองค์กรหนึ่งอย่างสมบูรณ์
Hal Finney นักพัฒนาโปรแกรม Bitcoin คนแรก (ขอบคุณภาพจาก Cryptonomi)
Chapter 02:
เงินมีหน้าที่หลัก 3 ประการ ได้แก่ เป็นหน่วยนับ เป็นที่สะสมคุณค่าและเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน
ส่วนสกุลเงินที่ดีนั้น ต้องมีคุณสมบัติ 6 ข้อ ได้แก่ ทนทาน (durable) พกพาได้ (portable) แบ่งแยกได้ (divisible) มีลักษณะเหมือนกัน (uniform) มีปริมาณที่ขาดแคลน (scarce) และที่สำคัญที่สุดคือต้องสร้างความเชื่อมั่นของผู้ใช้งานให้ได้ (faith)
มีความพยายามจากหลากหลายแหล่งในการพัฒนาสกุลเงินดิจิตอลขึ้น หนึ่งในนั้นคือ Hashcash ที่เป็นระบบเงินที่ไม่สามารถ copy ได้ด้วยการใส่รหัสที่คอมพิวเตอร์ต้องแข่งกันไขรหัสเพื่อให้ได้เงินมา แต่เงิน 1 หน่วยนั้นสามารถใช้งานได้แค่ครั้งเดียว แถมเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เร็วกว่าก็จะได้เปรียบอย่างเห็นๆ
ไม่มีใครสามารถคิดค้นสกลุเงินดิจิตอลที่ไม่ต้องพึ่งพิงกับหน่วยงานกลางใดๆได้เลยจนกระทั่ง Satoshi Nakamoto และแนวคิดในการสร้าง Bitcoin ถือกำเนิดขึ้น
Bitcoin คือสกุลเงินดิจิตอลเข้ารหัสที่ maintain โดยคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานรอบโลก โดยไม่มีศูนย์กลางในการควบคุมอำนาจ ทำให้ Bitcoin เป็นสกุลเงินเดียวที่สามารถส่งผ่านถึงกันได้รอบโลกโดยไม่ต้องแสดงหลักฐานอ้างอิง ไม่สามารถตรวจจับได้และไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมสูงๆให้กับธนาคาร
ระบบการทำงานของสกุลเงิน Bitcoin เริ่มต้นจากการที่ผู้ใช้งานต้องการทำรายการทางการเงินหนึ่งๆ ระบบจะทำการตรวจจับและบันทึกข้อมูล transaction ในแต่ละครั้งผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานในเครือข่าย Bitcoin ทั้งหมดในรูปแบบ Database ที่มีชื่อว่า Blockchain
ผู้ใช้งานจะมี private key ส่วนตัวเพื่อเปิดใช้งานเงินจำนวน Bitcoin ของตัวเอง โดยระบบจะทำการตรวจสอบจาก Blockchain ว่าผู้ใช้งานคนนั้นมีเงินก้อนนั้นอยู่จริงหรือไม่ก่อนจะอนุมัติให้การใช้งานเกิดขึ้นได้ และนำข้อมูลที่เรียกว่า block มาเก็บเข้าไปใน Blockchain
วิธีการเก็บ block นั้นเป็นการแข่งขัน (hash race) ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจากผู้ใช้งานทั่วโลกเพื่อหาเครื่องที่นำข้อมูล block ไปเก็บได้รวดเร็วที่สุด ผู้ชนะจะได้รับเงิน Bitcoin เป็นการตอบแทน ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้เกิดผู้ใช้งานเป็นวงกว้างและสามารถทำให้ระบบอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งศูนย์กลาง (Decentralized) เรียกการรันคอมพิวเตอร์เพื่อสร้าง Bitcoin ว่า Mining หรือ “การขุด Bitcoin”
การประมวลผลใดๆของระบบ Bitcoin จะอิงกับเสียงส่วนใหญ่เสมอตั้งแต่การตรวจหาผู้ชนะในการ race แต่ละครั้ง ไปจนถึงการปรับปรุง software ของ Bitcoin ซึ่งเป็น Open-source ที่จะเริ่มใช้งานจริงเมื่อผู้ใช้งานส่วนใหญ่ใช้ ทำให้หากมีผู้ใช้งาน Bitcoin มากเพียงพอ ระบบของ Bitcoin จะไม่มีทางถูกแฮ็คได้เลย
Hal Finney เป็นผู้ที่คอยปกป้องระบบ Bitcoin จากข้อโต้เถียงต่างๆนานา ทั้งการมองเห็นโอกาสในการ hack และการมองว่าระบบนั้นจะทำให้มีข้อมูลที่ใหญ่เกินไปจนคอมพิวเตอร์ไม่สามารถรับมือได้ นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาได้รับเลือกจาก Satoshi Nakamoto ในการทดลองโปรแกรม (แต่ต่อมา Hal Finney เกิดป่วยและได้ถอนตัวออกไปในเวลาต่อมา)
การที่ระบบ Bitcoin จะดำรงอยู่ได้นั้นต้องอาศัยผู้ใช้งานจำนวนมากแต่ในช่วงเริ่มต้นนี้ Satoshi มีผู้ใช้งานแค่ไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น ระบบ Bitcoin ต้องการผู้ใช้งานอีกจำนวนมากจึงจะบรรลุผลสำเร็จ
แผนผังการทำงานของ Bitcoin แบบเข้าใจง่าย (ขอบคุณภาพจาก Giottus)
Chapter 03:
“เงินอยู่ได้ด้วยความเชื่อมั่น”
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เงินถูกการันตีมูลค่าไว้ด้วยมาตรฐานทองคำ (Gold Standard) แต่หลังจากที่ Nixon ได้ยกเลิกระบบนี้ไป เงินจึงถูกผูกมูลค่าไว้กับ “ความเชื่อมั่นของรัฐบาล” แต่ละประเทศเท่านั้น ซึ่งในปี 2008 ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาได้ทลายความเชื่อมั่นของผู้กุมเงินดอลลาร์ด้วยการพิมพ์เงินดอลลาร์และทำให้ค่าเงินดอลลาร์ลดลง
ระบบ Bitcoin ถูกตั้งให้เงินมีปริมาณที่จำกัด โดยจะมีการผลิตเงิน 50 เหรียญทุก 10 นาที และปรับอัตราลดลงครึ่งหนึ่งในทุกๆ 4 ปี จนมีเงินครบ 21 ล้านเหรียญ Bitcoin และระบบจะหยุดการผลิตเงิน ถือเป็นการจำกัดอัตราเงินเฟ้อ (Limited Inflation) และทำให้ผู้คนเชื่อมั่นว่า Bitcoin จะรักษามูลค่าได้ในระยะยาว
Satoshi Nakamoto มีผู้เชื่อมั่นและผู้ช่วยคนใหม่ชาวฟินแลนด์ชื่อ Martti Malmi ซึ่งเขาคนนี้เองเป็นคนช่วยปรับปรุงเว็ปไซต์ Bitcoin.org ให้ดูน่าใช้งานมากขึ้นในช่วงเริ่มต้น พร้อมๆกับการปรับปรุงโปรแกรม Bitcoin ใหม่
Martti และ Satoshi ได้ร่วมกันจัดตั้ง Forum สำหรับผู้ใช้งาน Bitcoin ซึ่งพวกเขาได้พบกับผู้ใช้งานชื่อ NewLibertyStandard เสนอตัวจัดทำเว็ปไซต์แลกเปลี่ยน Bitcoin กับสิ่งของต่างๆ เช่น แสตมป์และของสะสม แต่สุดท้ายก็ต้องปิดตัวลงไปเนื่องจากไม่มีผู้ใช้งาน (NewLibertyStandard คำนวณมูลค่าของ Bitcoin จากต้นทุนค่าไฟฟ้าไว้ได้ประมาณ 1000 Bitcoin ต่อ 1 ดอลลาร์)
Martti Malmi นักพัฒนา Bitcoin ร่วมกับ Satoshi Nakamoto (ขอบคุณภาพจาก News.One)
Chapter 04:
Laszlo Hanyecz โปรแกรมเมอร์ชาวฮังการีทำการดัดแปลงคอมพิวเตอร์ของตัวเองให้สามารถแข่ง Hash Race ได้รวดเร็วกว่าผู้ใช้งานอื่นๆเป็นคนแรก เขาเป็นผู้ใช้งานคนแรกที่ทำการแลกเปลี่ยน Bitcoin กับสินค้าในโลกแห่งความจริงนั่นคือพิซซ่าแบบจัดสั่งถึงบ้านจากร้าน Papa John’s สองถาดในราคา 10,000 Bitcoin ในเดือนพฤษภาคม 2010 (ปัจจุบันมูลค่าของพิซซ่าถาดนั้นอยู่ในหลักล้านดอลลาร์)
Gaven Andreson วิศวกรคอมพิวเตอร์จากรัฐ Massachusetts ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในวงการ Bitcoin และได้รับความไว้วางใจจาก Satoshi Nakamoto ให้เป็นคนแก้ไขโค้ดโปรแกรมคนที่ 2 ต่อจาก Martti เขาเป็นผู้สร้างเว็ปไซต์เกี่ยวกับ Bitcoin ที่พร้อมแจก Bitcoin เริ่มต้นให้กับผู้สมัคร และเขายังกลายเป็นผู้ดูแลหลักของ Forum ที่คอยต้อนรับและตอบคำถามผู้ใช้งานใหม่
ในที่สุด Bitcoin ก็ได้รับการโปรโมตจากนิตยสารอย่าง Slashdot ซึ่งทำให้มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจนเว็ปไซต์ล่มอย่างรวดเร็ว (แต่ระบบ Bitcoin ยังใช้งานได้ปกติ)
พิซซ่าที่แพงที่สุดในโลกที่ถูกซื้อโดย Laszlo Hanyecz (ขอบคุณภาพจาก Business Insider)
Chapter 05:
ในเดือนกรกฎาคม 2010 ยอดคนดาวน์โหลดเพิ่มสูงขึ้นถึงหลักหมื่นต่อเดือน ระบบ Bitcoin ยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Jed McCaleb ได้สร้างตลาดแลกเปลี่ยน Bitcoin ชื่อ Mt.Gox (มาจาก Magic The Gathering Exchange) ที่สามารถนำเงินมาฝากไว้ในบัญชี PayPal ของเขาได้เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถทำการเทรดได้อย่างสะดวกสบายไม่ต่างจากตลาดหุ้น (ซึ่งจริงๆผิดหลัก Decentralized ของ Bitcoin) ในเวลาไม่ถึงเดือน Mt.Gox ได้กลายเป็นตลาดแลกเปลี่ยน Bitcoin ที่ใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมๆกับการเปลี่ยนแปลงเมื่อมีผู้ใช้งานให้ความสนใจมากขึ้น การ Mining จึงยากขึ้นและแทบเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผู้ใช้งานเครื่อง PC ผู้คนจึงเริ่มให้ความสำคัญกับการเทรดมากขึ้น
การมีผู้ใช้งานมากขึ้นยังช่วยให้มีคนคอยตรวจหาช่องโหว่ของระบบ Bitcoin เพื่อพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น อย่างเช่น กรณีที่มีโปรแกรมเมอร์ตรวจพบว่าระบบมี Bug ที่ทำให้สามารถใช้เงินคนอื่นซื้อของแทนได้ โปรแกรมเมอร์คนนั้นกับ Satoshi ได้ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาจนเสร็จ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของแนวคิดการมอบอำนาจให้กับผู้ใช้งานที่พร้อมจะร่วมกันพัฒนา Bitcoin ให้ดียิ่งขึ้น (ถ้าความเชื่อมั่นในระบบลดลง เงิน Bitcoin ของผู้ใช้งานก็ลดค่าลงตามไปด้วย)
หลังจากนั้น Martti และ Satoshi ได้เริ่มถอนตัวออกจากระบบ Bitcoin โดยมี Gavin Andreson เป็นผู้รับผิดชอบหลักแทน Satoshi ได้ทิ้งข้อความสุดท้ายไว้ในเดือนธันวาคม 2010
อีเมลสุดท้ายที่ Gavin ส่งให้ Satoshi คืออีเมลที่เขาบอกว่าเขาจะเข้าไปร่วมการประชุมกับ CIA
การที่ผู้สร้างระบบหายไปนั้น ไม่ส่งกระทบต่อ Bitcoin เนื่องจากแนวคิดการออกแบบระบบแบบ Decentralized ที่ทุกการตัดสินใจจะถูกตัดสินโดยเสียงส่วนใหญ่ของผู้ใช้งาน
Gavin Andreson ผู้พัฒนาโปรแกรม BitCoin ต่อจาก Satoshi Nakamoto (ขอบคุณภาพจาก UseTheBitcoin.com)
Chapter 06:
หลังจากพบกับปัญหาต่างๆนานา ไม่ว่าจะเป็นการถูกแฮ็คและการขาดทุนจากที่ไม่สามารถเรียกคืนเงิน Bitcoin จากลูกค้าที่ยกเลิกคำสั่งซื้อได้ ทำให้ Jed McCaleb ตัดสินใจขายหุ้นส่วนใหญ่ของ Mt. Gox ให้กับ Mark Kasperes โปรแกรมเมอร์ชาวฝรั่งเศสคนสนิท
จุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวงการ Bitcoin เกิดขึ้นเมื่อ Ross Ulbricht ได้ตัดสินใจจัดตั้ง Silkroad ซึ่งเป็นเว็ปไซต์ที่เขาตั้งใจให้เป็นตลาดออนไลน์สำหรับสินค้าที่คนทั่วไปไม่สามารถหาซื้อได้ในตลาดออนไลน์ทั่วไป โดยมีสินค้าแรกคือยาเสพติดที่เขาผลิตเอง !! และแน่นอนว่า Ross Ulbricht ได้เล็งเห็นประโยชน์ของการจ่ายเงินผ่าน Bitcoin ที่ไม่เปิดเผยตัวตนของผู้ใช้งาน (รวมถึงโปรแกรม Tor ซึ่งเป็น web browser ที่ช่วยปกปิดที่อยู่ของผู้ใช้งาน)
หลังการเปิดตัวของ Silkroad ได้ไม่กี่วัน มูลค่าของ Bitcoin ได้กระโดดจาก 50 cents เป็น 1 dollar
Ross Ulbricht เจ้าของเว็ปไซต์ Silkroad ตลาดมืดแห่งโลกอินเตอร์เน็ต (ขอบคุณภาพจาก The Culture File)
Chapter 07:
Roger Ver เป็นนักธุรกิจเจ้าของบริษัท Memory Dealers ที่ดำเนินการซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์เก่าๆจากบริษัทที่ปิดกิจการเพื่อนำไปขายต่อ หลังจากที่เขาได้รับรู้เรื่องราวของ Bitcoin เขาก็ได้ทุ่มเทหาข้อมูลของ Bitcoin แบบไม่เป็นอันกินอันนอนจนถึงต้องถูกหามตัวส่งโรงพยาบาล
Roger Ver ตัดสินใจทุ่มเงินกว่า 25,000 ดอลลาร์เพื่อซื้อ Bitcoin ใน Mt. Gox จนทำให้มูลค่าของ Bitcoin พุ่งจาก 1.89 ดอลลาร์ไปเป็น 3.30 ดอลลาร์ พร้อมกันนั้น เขายังได้ลงโฆษณากลางป้ายบิลบอร์ดว่า Memory Dealers พร้อมรับชำระเงินด้วย Bitcoin
Bitcoin เริ่มได้รับความสนใจจากกลุ่มคนกระแสหลักมากขึ้นเรื่อยๆ จำนวนผู้ใช้งาน Bitcoin และบริการที่เกี่ยวข้องพุ่งสูงขึ้น จนทำให้มูลค่าของ Bitcoin พุ่งไปแตะ 10 ดอลลาร์ในกลางเดือนพฤษภาคม (มีช่วงตกลงเล็กน้อยจากการที่ Silkroad ปิดปรับปรุงเว็ปไซต์)
การเติบโตของ Silkroad ทำให้ผู้เชื่อมั่นในระบบ Bitcoin หลายคนกังวลว่า Bitcoin จะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมายเท่านั้น แต่ Bitcoin ก็ยังมีมูลค่าพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ขนาดมีสมาชิกสภาออกมาพูดถึงการกระทำที่ผิดกฎหมายผ่าน Bitcoin ยังทำให้มูลค่าพุ่งขึ้นกว่า 50% จนแตะระดับ 30 ดอลลาร์ ก่อนที่มูลค่าจะตกลงต่ำกว่า 20 ดอลลาร์หลังจากที่ Ross Ulbricht ประกาศปิดตัว Silkroad ชั่วคราวพร้อมๆกับปัญหาการถอนเงินของ Mt. Gox
ผู้เชื่อมั่นในพันธกิจดั้งเดิมของ Bitcoin เริ่มกังวลว่ากลุ่มผู้ใช้งานใหม่ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจะมุ่งเน้นใช้งานระบบ Bitcoin เพื่อประโยชน์ส่วนตนมากเกินจนทำให้ระบบ Bitcoin ต้องล้มเหลวลงในที่สุด
Silkroad เว็ปไซต์ที่เป็นจุดกำเนิดการ “บูม” ของ Bitcoin (ขอบคุณภาพจาก All Things VICE)
Chapter 08:
ในเดือนกรกฎาคมปี 2011 เกิตเหตุแฮคเกอร์เข้าไปแฮ้ค Mt.Gox พร้อมกับสร้าง Bitcoin ปลอมในบัญชีกลางพร้อมเทขาย Bitcoin กว่า 260,000 เหรียญจนทำให้ราคาของ Bitcoin ถูกผลักดันลงมาจากกว่า 17 ดอลลาร์เหลือต่ำกว่า 1 เซ็นต์ โดยแฮคเกอร์รายนี้ได้ถอน Bitcoin ออกไปบางส่วน (Mt. Gox จำกัดการถอน Bitcoin มูลค่าไม่เกินครั้งละ 1000 ดอลลาร์) ก่อนที่ Mark Kasperes จะปิดล็อคบัญชีการถอนพร้อมกับการอัพเกรดโปรแกรมครั้งใหญ่ในไม่กี่วันถัดมา โดยเขาได้ทำการยกเลิกการซื้อขายในช่วงที่ถูกแฮคทั้งหมดและใช้เงินบริษัทซื้อ Bitcoin ที่ถูกถอนออกไปคืนกลับมาในบัญชีกลาง
Mark Kasperes แห่ง Mt. Gox ตลาดซื้อขาย Bitcoin (ขอบคุณภาพจาก Fortune)
Chapter 09:
เหตุการณ์เลวร้ายในลักษณะเดียวกันยังเกิดขึ้นกับตลาดแลกเปลี่ยนและบริการที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin ต่างๆอีกมากมาย อาทิ เหตุการณ์ที่เจ้าของบริษัทรับฝาก private key ชื่อ MyBitcoin ปิดบัญชีหนีไปพร้อมกับเงินของผู้ฝากทั้งหมด และเหตุการณ์ที่ตลาดแลกเปลี่ยน Bitomat Exchange เผลอลบข้อมูล private key ของลูกค้าทั้งหมดทำให้ Bitcoin ที่ค้างอยู่ในบัญชีไม่สามารถหาเจ้าของได้
เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้นักวิจารณ์หลายๆคนมองว่า Bitcoin กำลังจะถึงจุดจบ พร้อมกับมูลค่าของ Bitcoin ที่ล่วงลงไปต่ำกว่า 6 ดอลลาร์ต่อเหรียญ พร้อมกับตัวเลขผู้ใช้งานที่เริ่มทยอยหายไป นี่เป็นสัญญาณหนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าระบบการทำงานแบบ Centralized ที่ต้องพึ่งพาองค์กรส่วนกลางที่มีมนุษย์คอยดูแลอยู่นั้นไร้ซึ่งประสิทธิภาพสิ้นดี
แต่กลุ่ม core user ที่ให้ความสนใจใน Bitcoin ตั้งแต่สมัยเริ่มต้นกลับเข้ามาร่วมมือกันอย่างคึกคักมากยิ่งขึ้น หนึ่งในนั้นคือ Mike Hearn พนักงาน Google ที่ได้ใช้เวลาว่าง 20% free time พัฒนาโค้ดโปรแกรมระบบจ่ายเงินด้วย Bitcoin ผ่านเว็ปไซต์โดยไม่ต้องพึ่งพาโปรแกรม Bitcoin และไฟล์ดาต้าเบส blockchain ใหญ่ๆอีกต่อไป นอกจากนั้นยังมีการจัดสัมมนา Bitcoin ครั้งใหญ่ที่มีผู้เข้าร่วมกว่า 100 คน
Chapter 10:
Bitcoin เริ่มมีบทบาทต่อการเคลื่อนไหวด้านอิสรภาพมากขึ้นเรื่อยๆ
Erik Voorhees สมาชิกกลุ่ม Free State Project (FSP) ที่มีแนวคิดแบบ Libertarian ได้ร่วมมือกับ Roger Ver เพื่อส่งเงิน Bitcoin ให้กับสมาชิก FSP กว่า 15,000 คนแบบฟรีๆ พร้อมๆกับสมาชิกของ forum อีกหลายคนที่เข้าไปโฆษณา Bitcoin ให้กับกลุ่มการเคลื่อนไหวต่างๆ รวมถึง Occupy Wall Street และยังทำให้กลุ่มการเคลื่อนไหวเหล่านั้นรับบริจาคเงินสกุล Bitcoin ได้สำเร็จ
ถึงแม้ว่า Bitcoin จะกลายเป็นหนึ่งสัญลักษณ์ของการเคลื่อนไหวเพื่ออิสรภาพ แต่ผู้ใช้งานส่วนใหญ่ยังคงยึดติดรูปแบบการทำงานผ่านศูนย์กลาง ไม่ว่าจะเป็นการฝากเงินที่ Mt. Gox และการฟ้องร้องกับ FBI เรื่องการทุจริตของเจ้าของ MyBitcoin
Chapter 11:
หลังการปิดตัวชั่วคราว Silkroad กลับมาเปิดให้บริการพร้อมๆกับยอดผู้ใช้งานและพ่อค้าที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆสร้างรายได้ให้กับ Ross Ulbricht อย่างมหาศาล
Ross Ulbricht เริ่มที่จะคัดกรองสินค้าในเว็ปไซต์และแบนกลุ่มสินค้าที่ส่งผลกระทบต่อ “อิสรภาพ” ของคนอื่น อาทิ บัตรปลอมของบุคคลอื่น แต่ไม่ห้ามสิ่งที่ละเมิดข้อกำหนดของรัฐบาล อย่าง ยาเสพติดนานาชนิด
ขณะที่ Silkroad เติบโตขึ้นเรื่อยๆ FBI ได้เริ่มทำการปลอมแปลงเข้าไปเป็นลูกค้าของเว็ปไซต์จนสามารถจับกุมพ่อค้ายาเสพติดได้ 1 คน และเริ่มขยายผลการสอบสวนไปยังเจ้าของเว็ปไซต์ที่ใช้ชื่อ username ว่า “Dread Pirate Robert”
Chapter 12:
ภารกิจเผยแพร่ Bitcoin ของ Roger Ver ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนเขาได้มาพบกับ Charlie Shrem เจ้าของ BitInstant ที่เป็นบริการรับฝาก แลกเปลี่ยนและโอนเงินข้ามประเทศผ่าน Bitcoin ที่ทำได้อย่างรวดเร็วพร้อมด้วยค่าบริการที่ต่ำมาก (BitInstant เข้าไปจัดการซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoinในตลาด Mt. Gox อีกที) ทำให้ Bitcoin เริ่มเข้าสู่แวดวงธุรกิจแบบจริงจังมากขึ้น (การโอนเงินข้ามประเทศปกติทั้งแพงและเสียเวลาไปหลายวัน)
Roger แนะนำให้ Charlie Shrem รู้จักกับ Erik Voorhees ซึ่งทั้งคู่ได้ช่วยกันทำให้ BitInstant เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมี Roger Ver เป็นผู้สนับสนุน
นอกจาก BitInstant แล้ว บริการเกี่ยวกับ Bitcoin ที่สามารถใช้งานในเชิงพาณิชย์ได้ก็มีมากขึ้น อาทิ BitPay ที่รับจัดการเป็นศูนย์กลางในการซื้อขายระหว่างผู้ใช้เงิน Bitcoin และเงินสกุลอื่นๆที่คิดค่าบริการต่ำกว่าบัตรเครดิตมาก (คิดแค่ 1% จาก 2-3%) แถมด้วยระบบการจ่ายเงินแบบ Bitcoin ที่ผู้ซื้อไม่สามารถขอคืนเงินได้
Roger Ver นักลงทุนคนแรกๆใน startup ที่เกี่ยวข้องกับ BitCoin (ขอบคุณภาพจาก Medium)
Chapter 13:
ภายในเดือนพฤษภาคม 2012 บริษัท BitInstant ก็ได้กลายเป็นจุดสนใจของวงการ Bitcoin แบบฉุดไม่อยู่ Erik Voorhees ยังได้รับชื่อเสียงจากการทำเว็ปไซต์การพนันด้วย Bitcoin ชื่อ SatoshiDice
ในขณะเดียวกัน Bitcoin ก็ได้ถูกมองว่าเป็นแหล่งรวบรวมของสิ่งผิดกฎหมายต่างๆและถูกมองในภาพลบจากสังคม เหล่าเจ้าของธุรกิจและผู้บุกเบิกของ Bitcoin ที่ประกอบด้วย Charlie Shrem, Gavin Andreson, Roger Ver, Peter Vessenes นักธุรกิจผู้มากประสบการณ์และ Patrick Murck ทนายความด้านธุรกิจดิจิตอล ได้รวมตัวกันก่อตั้ง Bitcoin Foundation และดึง Mark Karpeles เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งได้สำเร็จ โดยวัตถุประสงค์ของ Bitcoin Foundation คือการนำพา Bitcoin ไปยังอนาคตที่ดีขึ้นและแยกตัวออกจากธุรกิจสีดำ ภารกิจแรกของ Bitcoin Foundation คือการปรับปรุง Mt. Gox ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Charlie Shrem ผู้ก่อตั้ง BitInstant และหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Bitcoin Foundation (ขอบคุณภาพจาก Bitcoinist)
Chapter 14:
หลังจากการแข่งกันเป็นนักลงทุนให้กับ BitInstant ในที่สุด David Azar นักธุรกิจเชื้อสายซีเรียเหมือน Charlie Shrem และสองพี่น้องตระกูล Winklevoss (หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง social network ที่มหาวิทยาลัย Harvard ก่อนที่จะถูก Mark Zuckerberg ขโมยไอเดียไปเปิด Facebook เป็นของตัวเอง) ก็ได้รับโอกาวให้ลงทุนใน BitInstant
Chapter 15:
Wences Casares นักธุรกิจชาวอาร์เจนติน่าผู้ก่อตั้ง Startup มานับสิบบริษัท เริ่มให้ความสนใจใน Bitcoin หลังจากที่เขาจ้างแฮคเกอร์ทดลองแฮค Bitcoin แต่ไม่สำเร็จ
Wences เกิดและเติบโตในอาร์เจนติน่าซึ่งเป็นประเทศที่พบเจอกับปัญหาทางการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วง Hyperinflation ในปี 1984 ที่เขาประสบเจอกับตัวเองหลังจากที่แม่พาเขาไปซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่างเร่งด่วนเพื่อใช้เงิน Peso ให้หมด ขณะเดียวกัน พนักงานร้านขายของก็เดินวุ่นไปมาเพื่อเปลี่ยนราคาสินค้าตามค่าเงินตลอดเวลา
Wences เชื่อว่าเงินเกิดมาจากการเป็นหลักฐานแสดงว่าใครติดหนี้ใครและเขาเชื่อมั่นว่า Bitcoin เป็นรูปแบบของเงินที่ดีที่สุด (รองลงมาคือทอง) เนื่องจากมีคุณสมบัติของเงินอย่างครบถ้วน
Wences ถือเงิน Bitcoin มูลค่ากว่าหลายสิบล้านดอลลาร์ เขายังยึดมั่นในพันธกิจที่จะทำให้ระบบการเงินของอเมริกาใต้พัฒนาให้ดีมากยิ่งขึ้น และเขาเองเป็นผู้เผยแพร่ Bitcoin ไปยังประเทศอาร์เจนติน่าและชักชวนให้เพื่อนนักธุรกิจและเศรษฐีร่วมลงทุนใน Bitcoin
Wences Casares นักลงทุน BitCoin รายใหญ่และผู้ก่อตั้งบริการ Bitcoin wallet ชื่อ Xapo (ขอบคุณภาพจาก Forbes)
Chapter 16:
จนถึงสิ้นปี 2012 ธุรกิจ Bitcoin ที่ประสบความสำเร็จที่สุดยังคงเป็น Silkroad อยู่เช่นเดิมด้วยยอดขายผ่าน Bitcoin มูลค่ากว่า 1.2 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งสร้างรายได้ให้ Ross Ulbricht เดือนละเกือบแสน แต่ไลฟ์สไตล์ของเขาก็เปลี่ยนไป เขาต้องพยายามปกปิดตัวตนที่แท้จริงไม่ให้ใครแม้แต่แฟนสาวตัวเองรู้ พร้อมกับย้ายที่ทำงานไปเรื่อยๆ เขาถึงขนาดใช้ชื่อ username ว่า Dread Pirate Roberts ที่สื่อถึงตำแหน่งที่ส่งมอบให้ผู้สืบทอดไปเรื่อยๆ แถมเขายังพยายามเปลี่ยนวิธีการเขียนของเขาอยู่บ่อยครั้งให้คนเข้าใจว่า admin เปลี่ยนคนอยู่เสมอ
ระหว่างนั้นพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ที่ใช้ username ว่า nob ได้เข้ามาตีสนิทกับ Dread Pirate Roberts จน Ross ไว้ใจให้ผู้ช่วยของเขาในโลกออนไลน์ช่วยขายยาเสพติดให้โดยรับหน้าที่กระจายสินค้า พอสินค้าส่งตรงมาถึงบ้านของผู้ช่วย หน่วย SWAT ก็กรูเข้ามาจับตัวเขาไป
Ross ยังไม่สงสัยในตัวของ nob ทำให้เขากล้าขอให้ nob วางแผนรอบฆ่าผู้ช่วยของเขาเพื่อปิดปาก ซึ่ง FBI ก็ได้จัดฉากถ่ายรูปส่งกลับไปให้ Ross พร้อมกับที่ Ross โอนเงินมาให้เป็นค่าจ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ อย่างไรก็ตาม FBI ก็ยังไม่ลดละที่จะตามสืบหาตัวตนที่แท้จริงของ Dread Pirate Roberts
Chapter 17:
ต้นปี 2013 ธุรกิจ BitInstant สร้างรายได้เป็นค่าคอมมิชชั่นมูลค่ากว่า 250,000 ดอลลาร์ แต่ Charlie ก็ได้เริ่มเปิดศึกทะเลาะกับนักลงทุน David Azar และสองพี่น้องตระกูล Winklevoss อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีใครยอมถอนตัวออกจาก BitInstant ขณะเดียวกัน Erik Voorhees ก็ได้ตัดสินใจลาออก หลังจากนั้นไม่นาน ธนาคารที่ BitInstant ใช้เป็นบัญชีฝากเงินได้ประกาศยกเลิกการให้บริการ
อาณาจักร BitInstant กำลังสั่นคลอน
Chapter 18:
Venture Capital เริ่มให้ความสนใจกับ Bitcoin มากขึ้น พร้อมกับแรงซื้อ Bitcoin อย่างมหาศาลจนสามารถดันราคาของ Bitcoin ไปสร้าง new high นับตั้งแต่ปี 2011 ที่ 32 ดอลลาร์
Wences Casares ได้รับเชิญเข้าร่วมงานสัมมนาลับๆบนเกาะเล็กๆที่สนับสนุนโดย e-Bay ภายในงานมีนักธุรกิจ tech start-up จาก Silicon Valley และผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีมากมาย และจุดสนใจที่สุดของงานนี้คือ Wences กับเรื่องราวของ Bitcoin นับเป็นการเผยแพร่ Bitcoin ไปยังกลุ่มบุคคลที่มีพลังอำนาจมากที่สุดนับแต่เริ่มต้นมา 4 ปีภายในระยะเวลาแค่ 3 วัน และทำให้ราคา Bitcoin พุ่งทะยานไป 40 ดอลลาร์ในสัปดาห์นั้น
Chapter 19:
Computing power เติบโตเพียงแค่เท่าตัวในปี 2012 โดยที่เครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับ Bitcoin mining ยังคงใช้หน่วยประมวล GPU ที่ใช้มาตั้งแต่สมัย Lazlo Hanecz (คนที่ซื้อ pizza ด้วย Bitcoin คนแรก)
การพุ่งขึ้นของมูลค่า Bitcoin ในปี 2013 เริ่มก่อให้เกิดการลงทุนพัฒนาหน่วยประมวลผลชนิดพิเศษ Application-specific Integrated Unit (ASIC) ที่ใช้สำหรับการขุด Bitcoin โดยเฉพาะ โดยบริษัทแรกที่ทำสำเร็จคือ Avalon ของนักธุรกิจจีนชื่อ Yifu Guo ที่พัฒนา ASIC ที่มีความเร็วมากกว่า GPU ถึงกว่า 30 เท่าในราคาเพียง 1299 ดอลลาร์ (ผู้ใช้งานคนแรกๆคืนทุนภายใน 1 สัปดาห์) จนทำให้ Computing power ของระบบ Bitcoin ทั้งหมดเพิ่มขึ้นเท่าตัวในหนึ่งเดือน
การเติบโตของ Bitcoin ยังทำให้เกิดการสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานเพื่อรวบรวมกำลัง Computing power ในการขุดเงิน ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงหากมีเครือข่ายที่มีพลังมากกว่า 5% ของระบบอาจจะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของทั้งระบบได้
และแล้วปัญหาใหญ่ก็เกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2013 เมื่อเหตุการณ์ Hard Fork หรือการเกิด conflict ข้อมูลใน Blockchain ที่ไม่ตรงกันระหว่างคอมพิวเตอร์ 2 กลุ่ม ส่งผลให้มูลค่า Bitcoin ลดลงกว่า 20% ในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง พร้อมๆกับการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาของ Gavin Andresen และผู้ใช้งานอื่นๆ
หลังจากตรวจสอบอยู่หลายชั่วโมงก็พบว่าสาเหตุเกิดจากการไม่ลงรอยกันของกลุ่มผู้ใช้งานที่ใช้งาน software คนละ version โดยนักขุดรายใหญ่มักจะอัพเดท version ใหม่อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งมีนักขุดหลายรายเสนอตัวที่จะกลับไปใช้งาน version เดิมถึงแม้จะต้องเสียเงิน Bitcoin บางส่วนไป สุดท้าย Bitcoin ก็กลับมาสู่เสถียรภาพ แสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจแบบ decentralized ของความร่วมมือร่วมใจของผู้ใช้เงินที่มองไปยังประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก
สัปดาห์ถัดมา กระทรวงการคลังประกาศ Bank Secrecy Act เพื่อควบคุมธุรกิจเกี่ยวกับ Bitcoin และบังคับให้ธุรกิจที่มีการแลกเปลี่ยนสกุลเงินต้องเข้าสู่ระบบกฎหมายโดยไม่กระทบกับผู้ใช้งานทั่วไป นี่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ารัฐบาลยังไม่คิดที่จะฆ่า Bitcoin ทิ้งและทำให้มูลค่าของ Bitcoin พุ่งทะยานต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุด จนถึงคืนวันหนึ่งที่ Cameron Winklevoss ดันราคาของ Bitcoin ให้ทะลุ 91.27 ดอลลาร์ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ Bitcoin ทั้งหมดในตลาดมีมูลค่ารวมกันมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์
ฝาแฝดตระกูล Winklevoss ผู้สนับสนุน BitCoin แบบทุ่มสุดตัว (ขอบคุณภาพจาก Vanity Fair)
Chapter 20:
ฟองสบู่ Bitcoin กำลังเกิดขึ้น ผู้คนเข้ามาให้ความสนใจใน virtual currency สกุลนี้มากขึ้นเรื่อยๆทุกวันพร้อมกับมูลค่าที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง Mt.Gox กวาดรายได้จากค่า commission ทะลุหนึ่งล้านดอลลาร์ ปัญหาต่างๆเริ่มเกิดขึ้นจากการบริหารงานที่มี Mark Kaperes เป็นศูนย์กลางแต่เพียงผู้เดียวทำให้กระบวนการทำงานต่างๆช้าลง แถมยังมีการเปลี่ยนแปลง code ของ Mt.Gox โดยไม่แจ้งให้ใครทราบทำให้บริการที่เกี่ยวข้องติดขัดกันเป็นแถวรวมถึง BitInstant ด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้คนเริ่มมองหาตลาดแลกเปลี่ยนแห่งใหม่กันมากขึ้น
ในเดือนเมษายน 2013 ราคา Bitcoin ทะลุเกิน 100 ดอลลาร์ซึ่งเป็นการพุ่งสูงกว่า 670% จากต้นปี ส่งผลให้นักเก็งกำไรเข้ามา trade กันอย่างเมามัน Mt.Gox เริ่มมีปัญหาอย่างต่อเนื่อง คำสั่งซื้อใช้เวลานานกว่า 30 นาที ในวันที่ 10 เมษายนเกิดยอดการซื้อขายมากกว่าวันก่อนหน้าถึง 3 เท่าทำให้เวลาในการส่งคำสั่งซื้อนานกว่า 1 ชั่วโมงจนหลายคนเริ่มหวาดกลัวและแห่ทยอยขายจากราคาที่พุ่งสูงขึ้นไปกว่า 300 ดอลลาร์ตกลงมาสู่ที่ระดับ 100 ดอลลาร์อีกครั้ง หลังจากเหตุการณ์สงบลง ยังมี Hacker รายหนึ่งแฮ็คและปิดระบบการทำงานของ Mt.Gox ซ้ำอีก
Chapter 21:
BitInstant เริ่มประสบปัญหาจากการที่ธนาคารไม่ยอมให้เปิดบัญชีฝากเงินแลกเปลี่ยนที่มียอด transaction สูงจนเข้าข่ายการฟอกเงิน ระบบการเงินแบบดั้งเดิมได้เข้ามาจำกัดการทำงานของระบบการเงินแบบใหม่ซะแล้ว
BitInstant ยังต้องพบเจอกับผู้ท้าทายใหม่อย่าง Coinbase ที่ได้รับการลงทุนจาก Venture Capital ไปกว่า 5 ล้านดอลลาร์ซึ่งถือเป็น deal ที่ใหญ่ที่สุดของแวดวง Bitcoin
ท่ามกลางปัญหาที่ถาโถมและการแข่งขันที่เข้มข้นมากขึ้นของธุรกิจที่เกี่ยวข้อง Bitcoin Foundation ได้จัดการประชุม Bitcoin ครั้งแรกขึ้นที่ Silicon Vallery เพื่อเชิญให้ผู้เกี่ยวข้องพบปะและพูดคุยกัน
Brian Armstrong ผู้ก่อตั้ง Coinbase บริการ Bitcoin services อันดับต้นๆของปัจจุบัน (ขอบคุณภาพจาก Fortune)
Chapter 22:
นักวิชาการหลายคนยังคงมองว่า Bitcoin เป็นแค่เพียงช่องทางในการเก็งกำไรกับซื้อขายสิ่งผิดกฎหมายเท่านั้น Bitcoin ยังไม่มีคุณสมบัติของสกุลเงินที่สมบูรณ์ ในทางทฤษฎี การที่ปริมาณของ Bitcoin มีจำกัดทำให้ผู้คนเลือกที่จะถือสกุลเงินทิ้งไว้เป็นการรักษามูลค่าที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆโดยไม่ยอมนำ Bitcoin มาใช้จ่าย ซึ่งต่างจากเงินสกุลทั่วไปที่มักจะมีเกิดการเฟ้ออยู่สม่ำเสมอ
Silkroad Online มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นจนถึงหลักล้านคน บุคลิกของ Ross Ulbricht เริ่มเปลี่ยนไปหลังจากเขากล้าที่จะสั่งฆ่าแฮคเกอร์ที่เตรียมแบล็กเมล์เว็ปไซต์ เขาเกือบโดนตำรวจจับมาแล้วหนึ่งรอบหลังจากที่ตำรวจตรวจเจอบัตรประชาชนปลอมที่เขาซื้อผ่านพัสดุไปรษณีย์ แต่ตำรวจได้ปล่อยตัวเขาไปโดยไม่รู้ว่าเขานี่แหละคือ Dread Pirate Roberts
Chapter 23:
Patrick Murck ทนายและโฆษกของ Bitcoin Foundation มีความเชื่อว่า Bitcoin สามารถอยู่ร่วมกับระบบกฎหมายแบบเก่าได้ เขาเริ่มการเจรจากับหน่วยงานภาครัฐและองค์กรเอกชนต่างๆเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและจุดยืนของ Bitcoin ที่ถูกต้อง
บริษัทใหม่ๆที่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับ Bitcoin ไม่ว่าจะเป็น Coinbase (บริการซื้อขาย Bitcoin ที่มียอดผู้ใช้งานทะลุยอดของ BitInstant) กับ BitStamp (ตลาดแลกเปลี่ยน Bitcoin จากสโลเวเนียที่มีผู้ใช้งานมากกว่า Mt.Gox) เริ่มดำเนินการตามกฎหมายการเงินมากขึ้น โดยผู้ใช้งานจะต้องทำการแสดงตัวตนอย่างชัดเจน ซึ่งผิดหลักการหลบเลี่ยงกฎระเบียบของ Bitcoin แต่ก็มีข้อดีคือ ผู้ใช้สามารถรักษา Bitcoin ไว้ได้ถ้า Private Key หาย
Roger Ver ผู้มีแนวคิดแบบ Libertarian ยังคงยึดมั่นในหลักการเดิมของ Bitcoin ทำให้เขามองหาธุรกิจที่ดำเนินไปในทางนั้น จนเขาได้มาพบและลงทุนใน Blockchain.info ของโปรแกรมเมอร์หนุ่มอังกฤษชื่อ Ben Reeves ซึ่งเป็นบริการรับฝาก Bitcoin ที่ทุกข้อมูลจะถูกนำไปเข้ารหัสโดยเฉพาะทำให้มีเพียงผู้ใช้งานเท่านั้นที่สามารถดึงข้อมูลมาดูได้ (บริษัทไม่สามารถดูได้ ไม่ว่ารัฐบาลจะขอหมายค้นก็ตาม)
Bitcoin มีการเติบโตอย่างชัดเจนในอาร์เจนติน่าเนื่องจากผู้คนไม่มั่นใจในเงิน Peso ประกอบกับข้อจำกัดในการแลกเงินตราต่างประเทศ ทำให้คนเริ่มกักตุน Bitcoin มากขึ้น โดยมี Wences และเพื่อนของเขาเป็นผู้ขาย
Wences ตัดสินใจขายธุรกิจ Startup ปัจจุบันเพื่อสร้าง Startup ใหม่ที่อุทิศให้กับ Bitcoin
Chapter 24:
ในวันที่ 30 กันยายน 2015 ในห้องสมุดแห่งหนึ่ง Ross Ulbricht ถูกจับกุมขณะที่กำลังแชทกับหนึ่งในทีมงานดูแลเว็ป Silkroad ซึ่งแท้จริงแล้วเป็น FBI ที่แฝงตัวมา
FBI ตรวจจับ Ross ได้จากการแกะรอย post รับสมัครงานเดิมที่มีชื่อของเขาอยู่ (ถึงแม้เขาจะลบไปแล้ว FBI ก็ตรวจเจอใน archive ของผู้ใช้งานอื่น) สิ่งที่เขากังวลที่สุดคือการถูกแฮคนั้นไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด
หลังข่าวคราวการปิดตัวของ Silkroad และการจับกุม Dread Pirate Roberts ทำให้ราคาของ Bitcoin ล่วงลงมาจาก 140 ดอลลาร์เหลือเพียง 110 ดอลลาร์ภายใน 2 ชั่วโมง
สองพี่น้องตระกูล Winklevoss ได้เล็งเห็นโอกาสหลังจากวิเคราะห์แล้วว่ายอดซื้อขายของ Silkroad นั่นคิดเป็นมูลค่าไม่ถึง 4% ของยอดทั้งหมด ประกอบกับข่าวเชิงบวกที่ FBI ไม่ได้มองว่า Bitcoin มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมบนโลกออนไลน์ ทำให้พวกเขาและอีกหลายคนลงทุนซื้อ Bitcoin จนราคากลับไปยืนอยู่ใกล้จุดเดิม
เหตุการณ์นี้ถือเป็นข่าวดีที่จะแสดงให้โลกรับรู้ว่า Bitcoin ได้ถ่อยห่างตัวเองออกจากสิ่งผิดกฎหมายแล้ว
Chapter 25:
ข้ามฟากมาที่ประเทศจีน Huang Xiaoyu กับ Yang Linke ได้เริ่มก่อตั้งตลาดแลกเปลี่ยน Bitcoin ขึ้นชื่อ BTC China ซึ่งตลาดแห่งนี้กำลังจะกลายเป็นตลาดที่มียอดคำสั่งซื้อขายมากที่สุดในโลกเวลาต่อมา
จีนเคยมีประสบการณ์กับ digital currency แล้วในอดีต จาก Q coin ที่เป็นเงินสำหรับใช้ซื้อขายสินค้าในอินเตอร์เน็ตที่เริ่มเติบโตจนกลายเป็นสกุลเงินย่อมๆ ก่อนที่จะถูกรัฐบาลระงับไป
เนื่องจากนโยบายการตรึงอัตราเงินหยวนให้อยู่ในระดับต่ำพร้อมๆกับมาตรการควบคุมการไหลออกของเงินหยวนในประเทศ ทำให้เงินส่วนใหญ่วนเวียนอยู่ในประเทศและลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และตลาดทุนต่างๆจนเริ่มอยู่ในระดับที่ไม่มีเสถียรภาพ ทำให้เศรษฐีชาวจีนเริ่มมองหาโอกาสจาก Bitcoin (ชาวจีนยังนิยมการเสี่ยงโชคในการลงทุนต่างๆอีกด้วย ลองสังเกตจาก Macau ที่มียอดเงินหมุนเวียนมากกว่า Las Vegas ถึง 7 เท่า)
Bobby Lee นักธุรกิจและโปรแกรมเมอร์เชื้อสายจีนร่วมมือกับน้องชาย Charlie Lee วิศวกร Google และผู้สร้าง digital currency อันดับ 2 ของโลกในสมัยนั้นชื่อ Litecoin เพื่อลงทุนในธุรกิจ Bitcoin อย่างเต็มตัว โดย Bobby ได้ทำการตกลงร่วมทุนกับ BTC China พร้อมรับหน้าที่เป็นผู้บริหารหลัก หลังจากการโปรโมต Bitcoin อย่างต่อเนื่อง Bobby สามารถคว้าสัญญาการเป็นผู้บริการจ่ายเงินของ Tencent (PayPal เวอร์ชั่นจีนอันดับ 2 รองจาก AliPay) ได้สำเร็จ ทำให้ BTC China และประเทศจีนเป็นประเทศที่สามารถหาซื้อ Bitcoin ได้ง่ายที่สุดในโลก แถม Bobby เลือกที่จะไม่เก็บค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายอีกด้วย ทำให้ Bitcoin เติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศจีน
ในเวลาต่อ Baidu ได้ประกาศรับการจ่ายเงินด้วย Bitcoin ถึงแม้จะเป็นแค่บริการความปลอดภัยเล็กๆเท่านั้น แต่เหตุการณ์นี้ก็ได้กลายเป็นสัญญาณบวกอย่างหนักทำให้มูลค่าของ Bitcoin เพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราดจาก 140 ดอลลาร์เป็น 200 ดอลลาร์
ถัดมาอีกไม่นาน eBay ประกาศว่า PayPal จะพยายามหาแนวทางในการให้บริการ Bitcoin ให้ได้ ประกอบกับปัจจัยบวกอีกมาก ทำให้ Bitcoin พุ่งทำ all time high ทะลุ 400 ดอลลาร์ในที่สุด
Chapter 26:
Patrick Murck จัดประชุมร่วมกับสมาชิกสภาและ Secret Service ได้สำเร็จ ซึ่งผลการประชุมได้สรุปว่ารัฐบาลมองเห็นประโยชน์ในระยะยาวของ Bitcoin และไม่ได้มองว่า Bitcoin เป็นภัยและแหล่งรวมสิ่งผิดกฎหมายแต่อย่างใด หลังจากข่าวการประชุมแพร่ออกไป ราคา Bitcoin ได้ไต่ระดับจาก 150 ดอลลาร์ไปถึง 700 ดอลลาร์
ผู้ใช้งานกลุ่มหลักของ Bitcoin ได้ดำเนินการตามกฎหมายผ่านบริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Coinbase และ BitStamp แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้มีความกังวลต่อความเป็นส่วนตัวในโลกออนไลน์แต่อย่างใด (การเปิดเผยว่า NSA ได้ดักเก็บข้อมูลของประชาชนโดย Edward Snowden ยังไม่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษเลย)
Roger Ver กลายเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มผู้เชื่อมั่นในหลักการปลดแอกอิสรภาพจากภาครัฐของ Bitcoin แบบดั้งเดิมของ Satoshi Nakamoto เขายังคงมองหาการลงทุนใหม่ๆในธุรกิจที่ดำเนินไปในทางนี้อย่างต่อเนื่อง
Merrill Lynch ประเมินว่า Bitcoin จะกลายเป็นคู่แข่งที่สำคัญของบริการโอนเงินระหว่างประเทศอย่าง Western Union และประเมินมูลค่าของ Bitcoin อยู่ที่ 1300 ดอลลาร์
Chapter 27:
ในอาร์เจนติน่า แนวทางการใช้งาน Bitcoin เพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ระบบการเงินแบบเดิมไม่สามารถทำงานได้แบบถูกต้องตามกฎหมายได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก กับธุรกิจ BitPagos ที่ให้บริการรับการจ่ายเงินสกุลต่างประเทศผ่าน credit card ต่างประเทศแล้วแปลงมาเป็นเงิน Bitcoin โดยชาร์จค่าบริการเพียง 5% และได้รับเงินในเวลาแค่ 2 วัน ซึ่งแตกต่างจากการรับเงินผ่านบริษัท credit card โดยตรงที่ต้องโดนชาร์จเกือบ 10% แถมยังต้องรอการชำระนานถึง 20 วันในขณะที่ค่าเงิน peso มีความแปรปรวนและอ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง ผู้ใช้งานกลุ่มแรกๆของบริการนี้คือโรงแรมที่รับชำระเงินผ่านบัตร credit card ของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ
Wences Casares ได้ก่อตั้ง Xapo ซึ่งเขาวางไว้ว่าจะกลายเป็นการบริการ Bitcoin แบบครบวงจร โดยเขาเริ่มต้นด้วยการรับฝากข้อมูล private key แบบออฟไลน์ในตู้เซฟอย่างดี ธุรกิจของเขาได้รับการลงทุนกว่า 20 ล้านดอลลาร์ทั้งๆที่พึ่งเริ่มต้นเท่านั้น
รัฐบาลจีนประกาศให้ Bitcoin กลายเป็น Digital Commodity และระงับการให้บริการของบริษัท Payment ทั้งหมด ทำให้ Tencent ต้องยกเลิกสัญญากับ BTC China ในเดือนธันวาคม 2013 ทำให้มูลค่าของ Bitcoin ล่วงหล่นลงมาเหลือที่ 430 ดอลลาร์ (ตกลงมากว่า 3 เท่าในหน่วยหยวน) ขณะเดียวกันคู่แข่งอันดับหนึ่งอย่าง Huobi กลับกลายมาเป็นตลาดอันดับหนึ่งจากการที่ธนาคารยังคงรับการฝากเงินผ่านบัญชีของเจ้าของอยู่ (ต่อมาก Bobby Lee ได้ยอมผูกบัญชีส่วนตัวเข้ากับธนาคารเหมือนกัน)
นักเศรษฐศาสตร์ยังคงมีข้อเคลือบแคลงเกี่ยวกับ Bitcoin ไม่ว่าจะเป็น ราคาที่แปรปรวนอย่างรุนแรงจนดูเหมือนว่า Bitcoin ไม่สามารถทำหน้าที่เก็บรักษามูลค่าได้ การเกิดขึ้นของ digital currency ใหม่ๆจำนวนมาก ธรรมชาติของ Bitcoin ที่จะเกิด deflation อ่อนๆจนคนไม่อยากนำออกมาใช้จ่าย และการมีกลุ่มผู้ถือเหรียญ Bitcoin มากกว่า 1% ของระบบ เช่น Wences กับ Roger Ver
ปัญหาที่แสดงให้เห็นความกังวลของ Satoshi Nakamoto เกิดขึ้นจริงๆ หลังจากที่มีกลุ่มแฮคเกอร์ทำการแฮคข้อมูลบัตรเครดิตของผู้ใช้บริการ Target กว่าแสนใบ
ช่วงต้นปี 2014 ธุรกิจ online retailer อย่าง Overstock ได้ประกาศรับการชำระเงินผ่าน Bitcoin ที่ร่วมมือกับ Coinbase (ค่าบริการ 1% ต่ำกว่าบัตรเครดิตที่ชาร์จ 2.5% และยังได้ประโยชน์จากการที่ลูกค้าไม่สามารถเรียกเงินคืนได้) ซึ่งยอดขายตอนเปิดให้บริการวันแรกนั้นพุ่งสูงกว่า 1 แสนดอลลาร์
Chapter 28:
ในช่วงเวลาที่ Charlie Shrem พยายามกู้กิจการ BitInstant ให้กลับมาใช้งานได้ใหม่อย่างถูกกฎหมาย เขาได้ถูกตำรวจจับตัวไปในข้อหาสนับสนุนการฟอกเงินและการกระทำผิดกฎหมายที่เขาไม่ได้ตรวจสอบและยังสนับสนุนกลุ่มพ่อค้ายาเสพติดผ่านเว็บ Silkroad ในการซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin
ข่าวนี้ทำให้ธนาคารต่างๆทั่วสหรัฐยกเลิกการให้ความร่วมมือหรือลงทุนในกิจการเกี่ยวกับ Bitcoin ทั้งหมด โดยมีเพียง Silicon Valley Bank แห่งเดียวที่ยอมสนับสนุน
Chapter 29:
ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2014 Mt. Gox เกิดปัญหาไม่สามารถถอนเงินดอลลาร์ออกจากบัญชีได้ ทำให้ราคาของ Bitcoin พุ่งสูงกว่าตลาดอื่นๆกว่า 100 ดอลลาร์ (ต้องซื้อ Bitcoin เพื่อถอนออกจากบัญชี) ต่อมาปัญหาได้ลุกลามจนทำให้ไม่สามารถถอนเงินสกุลใดๆก็ตามออกจาก Mt. Gox ส่งผลให้ราคา Bitcoin ใน Mt. Gox ดิ่งเหว
Mark Karpeles ประกาศปิดระบบการถอนเงินชั่วคราวและประกาศว่าปัญหาทั้งหมดเกิดจากข้อบกพร่องของระบบ Bitcoin ที่ผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยนแปลง Transaction Identifier เพื่อนำเงินกลับมาใช้ใหม่ได้ในตลาดแลกเปลี่ยน ซึ่งต่อมาเหล่านักพัฒนาคนอื่นๆออกมาบอกว่าปัญหานี้เป็นปัญหาที่รู้มานานแล้วและหลายๆเจ้าได้หาวิธีป้องกันไว้แล้ว แต่ Mt. Gox ยังคงไม่สามารถแก้ปัญหาได้ จนมีการประท้วงย่อมๆของลูกค้าที่หน้าสำนักงานในกรุงโตเกียว
Mark Karpeles ตรวจพบว่ามีแฮคเกอร์ลักลอบถอนเงินผ่านข้อบกพร่องของ Transaction Identifier จนหมดคิดเป็นมูลค่ากว่าร้อยล้านเหรียญดอลลาร์ เขาและผู้ช่วยเร่งรีบหานักลงทุนที่ยอมนำเงินมาโปะส่วนที่สูญเสียไปโดยอ้างเหตุผลว่าถ้าปัญหานี้รั่วไหลออกไป ระบบ Bitcoin ทั้งหมดจะสูญเสียความน่าเชื่อถือไป แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถหานักลงทุนได้ เหล่านักพัฒนาต่างออกมาบอกว่าปัญหานี้เกิดจากความไม่รับผิดชอบของบริษัทๆเดียว ไม่เกี่ยวกับ Bitcoin แบบองค์รวม แถมการที่ Mt. Gox จะต้องล้มละลายยังเป็นสิ่งที่ดีเพราะเป็นการกำจัดบริษัทที่ไม่มีประสิทธิภาพออกไปจากระบบ ทำให้ราคา Bitcoin ล่วงลงมาเด้งกลับไปคืนได้
เป็นอีกครั้งที่ระบบแบบมีศูนย์กลางนำไปสู่ปัญหาที่กระทบต่อคนที่เชื่อมั่น
ผู้ประท้วง Mt. Gox (ขอบคุณภาพจาก Business Insider)
Chapter 30:
ในวันที่ 6 มีนาคม 2014 นักข่าวหลายสำนักได้รวมตัวกันหน้าบ้านของนาย Dorian Nakamoto ผู้ที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นตัวตนที่แท้จริงของ Satoshi Nakamoto หลังจากที่มีนักข่าวไปสืบพบว่าชื่อตอนเกิดของ Dorian คือ Satoshi แถมพื้นหลังของเขาที่เรียกด้านฟิสิกส์ยังส่อเค้าว่ามีความเป็นไปได้ ซึ่งนาย Dorian ได้ปฏิเสธ ในเวลาต่อมา account ในเว็ปบอร์ดของ Satoshi Nakamoto ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาตลอด 3 ปี ก็ได้มีโพสต์ใหม่ที่ออกมาบอกว่า “ผมไม่ใช่ Dorian”
ผู้เชี่ยวชาญได้ทำการประมาณการณ์มูลค่าทั้งหมดของ Bitcoin ของนาย Satoshi Nakamoto ไว้กว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์ แต่เขาไม่เคยนำเงินส่วนนั้นมาใช้จ่ายเลย หากนาย Satoshi กลับมาจริงๆ เขาก็ไม่มีบทบาทอะไรในระบบ Bitcoin อยู่ดีเพราะว่า Protocol ทั้งหมดสามารถบริหารได้โดย Gavin Anderson และทีมของเขาอยู่แล้ว
ในวันเดียวกัน Goldman Sachs ได้จัดประชุมส่วนตัวเกี่ยวกับ Digital Currency ซึ่งทางบริษัทได้ให้ความสนใจเทคโนโลยี Blockchain ที่อำนวยการให้การส่งต่อและตรวจสอบข้อมูล Financial Transaction สามารถทำได้ในเวลาอันรวดเร็ว แถมระบบแบบ Decentralized ยังช่วยป้องกันการโจมตีทางโลกไซเบอร์ได้ด้วย ต่อมา JP Morgan ได้นำทีมธนาคารศึกษาโครงการที่ชื่อว่า The Clearing House ที่มีจุดประสงค์ในการพัฒนาระบบการจ่ายเงินแบบ Instant Payment ในระยะเวลาสั้นๆเพื่อมาแข่งกับระบบของ Visa หรือ MasterCard และพัฒนาระบบการโอนเงินระหว่างธนาคารที่ปกติใช้เวลานานถึง 3 วัน ทั้งหมดด้วยเทคโนโลยี Blockchain โดยได้วางให้ระบบกระจายไปยังธนาคารสมาชิกต่างๆทั้วโลก ซึ่งกลุ่มผู้พัฒนา Bitcoin มองว่าเป็นการกระจายตัวที่มีผู้เล่นน้อยรายเกินไปจนอาจเสี่ยงให้เกิดการรวมกลุ่มกันล้มระบบได้
ในอุตสาหกรรม Bitcoin Mining ผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในอเมริกาคือ 21e6 ของ Balaji Srinivasan ที่เป็นเสมือนกองทุนขุด Bitcoin ผ่าน Chip ที่ได้รับการออกแบบให้มีประสิทธิภาพสูงและใช้ไฟฟ้าต่ำเพื่อผลิต Bitcoin ออกมาในต้นทุนที่คุ้มค่า แต่ผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในโลกมีชื่อว่า Bitfury ที่ดำเนินการโดยโปรแกรมเมอร์ชาวยูเครนชื่อ Val Nebesny ผู้ที่ติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์สำหรับขุด Bitcoin กระจายตัวไปทั่วโลกตามพื้นที่ที่มีต้นทุนค่าไฟฟ้าต่ำๆ จนหลายๆคนหวาดกลัวว่า BitFury จะมีพลัง computing power รวมกันมากกว่า 50% ซึ่งเจ้าตัว Val ได้ออกมาสัญญาว่าจะควบคุมให้พลังทั้งหมดอยู่ในระดับไม่เกิน 40% เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของระบบ Bitcoin และมูลค่าเงินในกระเป๋าของเขา
เห็นได้ว่า Bitcoin จำนวนมากอยู่ในกำมือของคนจำนวนไม่กี่คน Bitcoin เหรียญใหม่ๆก็ยังถูกขุดโดยบริษัทไม่กี่แห่งเช่นกัน
ธุรกิจ Blockchain.info ของ Roger Ver ก็ดำเนินการไปได้ด้วยดีอย่างต่อเนื่อง โดยยอดผู้ใช้งานทะลุกว่า 1.5 ล้านคนในเดือนมีนาคม 2014
ส่วน Charlie Shrem กำลังถูกกักบริเวณอยู่ในบ้านของเขาขณะรอพิจารณาคดีในชั้นศาล ซึ่ง Charlie จะยอมรับข้อกล่าวหาและติดคุก 1 ปี เขาได้ไปปรากฏตัวในงานประชุม Bitcoin ที่มีผู้คนให้กำลังใจเขาอย่างท่วมท้น
ปิดท้ายด้วย Ross Ulbricht ผู้ยืนกรานปฏิเสธทุกข้อกล่าวหากำลังจำคุกและรอการพิจารณาคดีอยู่ แม่ของ Ross ได้ออกมาทำแคมเปญปลดปล่อย Ross โดยให้เหตุผลว่า Silkroad เป็นเว็ปไซต์ที่ยอมให้คนตัดสินใจดำเนินชีวิตของตัวเองได้อย่างอิสระและยังช่วยให้ผู้ซื้อยาเสพติดสามารถหาซื้อยาได้อย่างปลอดภัย
Dorian Nakamoto ชายผู้ถูกสงสัยว่าเป็นผู้ก่อตั้งปริศนาของ BitCoin (ขอบคุณภาพจาก The Verge)
Chapter 31:
บุคคลที่ถูกเชื่อว่าน่าจะเป็น Satoshi Nakamoto ที่สุดมีชื่อว่า Nick Szabo โปรแกรมเมอร์ Libertarian ผู้คิดค้น digital currency ชื่อ bit gold ในปี 1998 โดยเหล่านักสืบนำเอาข้อมูลบล็อกของเขามาเปรียบเทียบกับ time line กิจกรรมต่างๆของ Satoshi Nakamoto แล้วสอดคล้องกัน โดยตัวเขาที่ขณะนั้นกำลังทำงานให้กับ startup แห่งหนึ่งได้ปฏิเสธว่าเขาไม่ใช้ Satoshi Nakamoto
ปัญหาลูกใหญ่ของ Bitcoin อีกข้อคือการเป็นช่องทางในการจ่ายเงินค่าไถ่ตัวประกันที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ และนี่เองที่ทำให้ผู้เชื่อมั่นใน Bitcoin ต่างออกมาประณามสื่อที่ประโคมข่าวของ Dorian Nakamoto เพราะกลัวว่าตัว Dorian ที่ถูกเชื่อว่ามีเงิน Bitcoin เป็นพันล้านดอลลาร์จะถูกลักพาตัว
PayPal เริ่มส่งสัญญาว่าจะรับ Bitcoin เป็นหนึ่งในสกุลเงินที่ใช้ในการรับจ่ายเงิน
สองพี่น้องตระกูล Winklevoss จัดตั้งกองทุน Bitcoin ได้สำเร็จ
บริษัท Xapo ของ Wences Casares กลายเป็นบริษัท Bitcoin ที่ได้รับเงินลงทุนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ธุรกิจหลักของ Xapo ยังคงเป็น safe vault ที่เก็บ Bitcoin อย่างปลอดภัย โดย Wences ต้องการผลักดันจุดเด่นของ Bitcoin ในด้านความเป็นอิสรภาพจากระบบการเงินเดิมๆ ซึ่งต่อยอดออกมาเป็นธุรกิจใหม่ๆเรื่อยๆ อาทิ บัตรเดบิต Bitcoin บัตรแรกของโลก
ในงานสัมมนาแห่งหนึ่ง Wences ได้พับกับ Bill Gates ผู้มีความคิดในแง่ลบเกี่ยวกับระบบ Bitcoin ที่ไม่เปิดเผยตัวตนของผู้ใช้งาน ซึ่ง Wences สามารถพูดให้ Bill Gates เชื่อมั่นในการนำ Bitcoin มาเป็นสื่อกลางในการโอนเงินของ Gates Foundation ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
จนถึงเดือนมีนาคม 2014 จำนวน Transaction ของ Bitcoin อยู่ที่ 2400 ครั้งต่อนาที ขณะที่ Visa มีผู้ใช้งาน 2000 ครั้งต่อวินาที ขณะเดียวกันจำนวนผู้ใช้งานของ Bitcoin ก็อยู่ที่ประมาณ 6 ล้านคนทั่วโลก Bitcoin ได้เดินทางมาพอสมควรแล้ว แต่หนทางที่ Bitcoin จะกลายเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนยังคงอีกยาวไกล
<<< ติดตาม [สรุปหนังสือ] เล่มอื่นๆต่อได้ทางนี้เลยครับ [CLICK] >>>
ประเภทอาหาร: Western Comfort Food คะแนนรีวิว: ★★★★ [...]
ประเภทอาหาร: Modern French คะแนนรีวิว: ★★★★★ [...]
by Yuval Noah Harari [...]
ประเภทอาหาร: Modern European with Asian Accents คะแนนรีวิว: ★★★★★ [...]
ประเภทอาหาร: Thai Seafood คะแนนรีวิว: ★★★ [...]
ประเภทอาหาร: Authentic Thai คะแนนรีวิว: ★★★★★ [...]