[สรุปหนังสือ] Doing Agile Right : Transformation Without Chaos (2020)
by Darrell Rigby, Sarah Elk & Steve Berez
“Agile has the power to transform work, but only if it’s implemented the right way.”
วิถีการทำงานแบบ Agile ที่อาศัยการทำงานร่วมกันอย่างรวดเร็วของทีมจากหลากหลายสายงาน (cross-functional team) ที่มีอำนาจในการตัดสินใจด้วยตัวเองเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆให้กับองค์กรและสร้างแรงจูงใจในการทำงานให้กับพนักงานระดับหัวกะทินั้นถือเป็นหนึ่งใน “นวัตกรรมด้านการบริหารจัดการ” ที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายมากว่าวิถีการทำงานแบบ Agile ที่เต็มไปด้วยคุณประโยชน์มากมายนั้นกลับถูกนำมาใช้อย่างผิดๆจากความเข้าใจที่ผิดพลาดขององค์กรจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น การคิดว่า Agile สามารถนำมาใช้ในองค์กรได้ทันทีโดยไม่ต้องมีการปรับให้เหมาะสมและทดลองอย่างค่อยเป็นค่อยไป การที่ผู้บริหารระดับสูงไม่ยอมทำความเข้าใจและปฏิบัติตาม Agile อย่างแท้จริง ไปจนถึง การนำเอา Agile ไปใช้กับทุกหน่วยงานในองค์กรโดยไม่คำนึงถึงสมดุลร่วมกับระบบปฏิบัติการแบบดั้งเดิมที่มีเสถียรภาพที่ยังคงใช้การได้ดีในหลายองค์ประกอบ
Doing Agile Right คือ คัมภีร์ที่ว่าด้วยการนำเอาวิถีการทำงานแบบ Agile ไปปรับใช้ในองค์กรได้อย่าง “ถูกต้อง” โดยฝีมือของ Darrell Rigby, Sarah Elk และ Steve Berez แห่ง Bain & Company บริษัท management consulting ระดับท็อปของโลกผู้มากไปด้วยประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาองค์กรชั้นนำจากทั่วโลกในการทำงานแบบ Agile ที่พบเห็นทั้งความผิดพลาดมากมายที่สามารถป้องกันได้และเคล็ดลับที่ช่วยให้ Agile ถูกนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงที่สุด
ขอเชิญทุกท่านที่สนใจวิถีการทำงานแบบ Agile อ่านสรุปหนังสือเล่มนี้กันได้เลยครับ
1 | HOW AGILE REALLY WORKS
ในปี 2001 นักพัฒนาซอฟท์แวร์มืออาชีพ 17 ได้รวมตัวกันเพื่อพัฒนาและนำเสนอวิถีการทำงานของเหล่าบรรดานักพัฒนาซอฟท์แวร์ที่มีประสิทธิภาพและความคล่องตัวสูงที่พวกเขาเรียกว่า “Agile Software Development” ที่กลั่นกรองมาจากการวิจัยวิถีการทำงานขององค์กรที่สามารถพัฒนานวัตกรรมได้อย่างต่อเนื่องที่มักมีลักษณะร่วมกันหลายประการ โดยแรกเริ่ม การทำงานในรูปแบบ Agile มักถูกนำมาใช้ในหน่วยงาน IT และเทคโนโลยีเป็นหลัก แต่บริษัทจำนวนมากก็ได้นำเอาแนวคิดแบบ Agile มา “ทดลองเรียนรู้” และ “ปรับใช้” ในหน่วยงานต่างๆได้อย่างประสบความสำเร็จ
แนวคิดหลักของ Agile Software Development (source: medium)
โดยก่อนที่จะลงลึกไปยังวิธีการประยุกต์ Agile มาใช้ในองค์กรของคุณได้อย่างถูกต้อง สิ่งแรกที่ต้องสร้างก่อนก็คือการทำความเข้าใจว่าแนวคิดของ Agile นั้นมีโครงร่างหลักๆเป็นอย่างไร เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพมากขึ้น ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างบริษัทอาหารแห่งหนึ่งที่เริ่มนำเอา Agile มาปรับใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างขนมเพื่อสุขภาพที่บริษัทยังไม่เคยทดลองทำ โดย CEO ของบริษัทนี้เริ่มต้นการทำ Agile ด้วยการดึงเอาผู้นำที่เคยทำงานในบริษัท startup ที่ขับเคลื่อนอย่างรวดเร็วมาเป็นหัวหน้าทีมและดึงเอาทีมงานในแต่ละแผนก อาทิ การตลาด วิจัยและพัฒนา การผลิตและการจัดซื้อ จากแผนกต่างๆมาร่วมทีมแบบเต็มเวลา พร้อมๆกับการให้อำนาจของทีม Agile นี้ในการตัดสินใจอย่างเต็มที่และพร้อมช่วยทลายข้อจำกัดต่างๆของบริษัทให้ อาทิ การยอมให้จ้างซัพพลายเออร์ข้างนอกเพื่อลดระยะเวลาแทนการรอคิวจากภายในและการเตรียมเงินทุนให้หนึ่งก้อนนอกแผนงบประจำปี โดยทีมงาน Agile ก็ได้นำเอาแนวคิดในการทดลองอย่างรวดเร็วที่พวกเขาจะต้องพัฒนา prototype ของขนมเพื่อสุขภาพมาให้ลูกค้าทดลองและผู้บริหารได้ลองชิมทุกๆ 2 สัปดาห์เพื่อเร่งเรียนรู้ความต้องการของผู้บริโภคอย่างรวดเร็วที่สุด จนในที่สุดผู้บริหารหลายคนก็เริ่มเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วกว่าแนวคิดแบบเดิมๆและเริ่มมองหาโอกาสในการพัฒนาทีม Agile อื่นๆเพิ่มเติม
จากตัวอย่างข้างต้น ทุกท่านคงพอจับแนวคิดหลักๆของวิธีการทำงานแบบ Agile ได้ดังต่อไปนี้
แผนภาพกระบวนการแบบ sprint (source: soldevelo)
2 | SCALING AGILE
เมื่อองค์กรเริ่มทดลองนำเอาวิธีคิดแบบ Agile มาทดลองปรับใช้ในทีมงานสร้างนวัตกรรมกลุ่มเล็กๆได้อย่างสัมฤทธิ์ผลแล้ว แนวคิดที่สำคัญอย่างมากในลำดับถัดมาก็คือการสร้าง “Agile Enterprise” หรือ “องค์กรที่มีความคล่องตัวสูง” ที่เกิดขึ้นจากการขยายขอบเขตของวิธีคิดแบบ Agile ไปยังหน่วยงานต่างๆมากยิ่งขึ้นและสร้างสมดุลใหม่ระหว่างหน่วยงาน Agile ที่คอยสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าและหน่วยงานสนับสนุนที่ยังต้องมีวิธีการทำงานที่เน้นไปที่ประสิทธิภาพและมีวิธีการวัดผลและการบริหารความเสี่ยงที่ดีเพื่อให้องค์กรนั้นสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคงแต่ก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆได้อย่างต่อเนื่อง
โดยองค์กรที่ต้องการวิวัฒนาการเป็น Agile Enterprise นั้นควรยึดวิธีคิดแบบ Agile ที่เน้นไปที่การทดลองและเรียนรู้อย่างรวดเร็วในการพัฒนาระบบการทำงานขององค์กรใหม่พร้อมกับการทำ 3 กิจกรรมดังต่อไปนี้
โดนท้ายที่สุด องค์กรที่สามารถแปลงสภาพเป็น Agile Enterprise นั้นจะสามารถสร้างนวัตกรรมและกระบวนการทำงานที่คล่องตัวได้ในแทบทุกหน่วยงาน [องค์กรที่มีทีม Agile เฉพาะส่วนของงานด้านนวัตกรรมมักไม่สามารถใช้ประโยชน์จากความรวดเร็วได้อย่างเต็มที่เพราะทีม Agile มักต้องรอคิวหน่วยงานอื่นๆที่ยังคงช้าเหมือนเดิมอยู่] โดยแนวทางในการบริหารจัดการองค์ประกอบสำคัญในการสร้าง Agile Enterprise จะถูกพูดถึงในบทถัดๆไปครับ
3 | HOW AGILE DO YOU WANT TO BE?
ในปี 1982 ไลฟ์การ์ดชาวอเมริกันนามว่า Mark Allen ตัดสินใจลงแข่ง Ironman Triathlon ที่ถือเป็นบททดสอบความแข็งแกร่งของร่างกายขั้นสูงสุดที่ประกอบไปด้วยการว่ายน้ำ 2.4 ไมล์, ปั่นจักรยาน 112 ไมล์และวิ่งมาราธอนครบหนึ่งรอบอีก 26.22 ไมล์ ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม เขาได้ศึกษาความเร็วของแช้มป์โลกคนปัจจุบันและฝึกให้ได้ตามความเร็วนั้นในทันทีซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่แปลกอะไรที่เขาไม่สามารถแม้แต่จะจบรอบการแข่งขันได้ หลังจากนั้น เขายังคงทุ่มเทฝึกอย่างหนักจนเขาได้มาพบกับโค้ชคนหนึ่งที่มีวิธีการพิชิต Ironman Triathlon ที่แตกต่างออกไปโดยเริ่มจากการฝึกในระดับที่เหมาะสมกับร่างกายของนักกีฬาคนนั้นๆเพื่อให้จบรอบให้สำเร็จก่อนแล้วจึงค่อยๆเริ่มเรียนรู้และพัฒนาร่างกายต่อเพื่อเพิ่มความเร็วไปเรื่อยๆ อาทิ การรับประทานอาหารและการนอน จนท้ายที่สุด Mark Allen ก็สามารถคว้าแช้มป์ Ironman World Championship ได้ในปี 1989 ด้วยความเร็วที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์โลกขณะนั้น
วิธีการพัฒนาศักยภาพทางร่างกายของ Mark Allen ที่เปลี่ยนจากการคัดลอกวิธีการของผู้อื่นที่ประสบความสำเร็จมาใช้ในทันทีเป็นการค่อยๆนำเอาหลักการต่างๆมาปรับใช้และพัฒนาต่อเนื่องไปเรื่อยๆ นั้นคือหลักการเดียวกับการนำเอา Agile มาปรับใช้ในองค์กรได้อย่างประสบความสำเร็จ ที่ผู้นำองค์กรจะต้องค่อยๆเรียนรู้และหาสมดุลในการขยายการใช้งาน Agile ให้อยู่ในจุดที่เหมาะสมกับบริบทขององค์กรใดองค์กรหนึ่งโดยเฉพาะและต้องคำนึงถึงการควบคุม “ต้นทุนของ Agile” ให้ต่ำกว่าผลประโยชน์ที่จะได้รับมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งต้นทุนที่ว่านั้นก็มีดังต่อไปนี้
โดยนอกจากการประเมินจุดสมดุลแล้ว องค์กรที่จะนำเอา Agile มาปรับใช้ยังต้องกำหนดดัชนีชี้วัดที่เหมาะสมกับบริบทขององค์กรเพื่อตรวจวัดความสำเร็จของการนำเอา Agile มาปรับใช้ที่ต้องครอบคลุมถึงตัวชี้วัดทั้ง 5 ประเภท ดังต่อไปนี้
4 | AGILE LEADERSHIP
หนึ่งในแก่นของการสร้าง Agile Enterprise ก็คือการที่ผู้นำขององค์กรมีความเข้าใจและยึดมั่นในหลักการทำงานในวิถีแบบ Agile อย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของผู้นำองค์กรจากวิธีคิดแบบดั้งเดิมที่เชื่อมั่นว่าผู้นำรู้ดีที่สุดและทุกอย่างต้องถูกควบคุมอย่างเข้มงวดซึ่งเคยใช้ได้ผลดีในสมัยก่อน มาเป็นวิธีคิดแบบใหม่ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีแนวคิดหลักอยู่ 4 ประการ ได้แก่
นอกจากนั้น ผู้นำสูงสุดในองค์กรแบบ Agile Enterprise ยังควรรวมตัวกันเป็นทีมแบบ Agile ที่มีเป้าหมายในการสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุดให้กับองค์กรโดยไม่แบ่งแยกหน่วยงานเพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นระหว่างแผนก การจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสมและการกำหนดลำดับความสำคัญของงานของแต่ละหน่วยงานแบบองค์รวมโดยมีเป้าหมายสูงสุดเป็นผลประโยชน์ขององค์กรเป็นที่ตั้ง ปิดท้าย ผู้นำยังควรสร้างระบบการตัดสินใจอย่างรวดเร็วให้แก่พนักงานด้วยการหมั่นสื่อสารถึงเป้าหมายขององค์กรที่แตกย่อยไปสู่แต่ละทีมอย่างชัดเจนจนทีมงาน Agile ทุกคนเข้าใจชัดเจนว่าการตัดสินใจแบบไหนจะดีต่อองค์กรที่สุดพร้อมกับการสร้างระบบการโค้ชและส่งเสริมการเรียนรู้ระหว่างกันอย่างมีประสิทธิภาพ
5 | AGILE PLANNING, BUDGETING, AND REVIEWING
อีกหนึ่งแก่นของ Agile Enterprise ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือกระบวนการวางแผน การจัดการงบประมาณและการวัดผลในรูปแบบ Agile ที่แตกต่างจากองค์กรแบบดั้งเดิมที่มักวางแผนการในระยะยาวอย่างละเอียดและยึดมั่นการปฏิวัติการให้เป็นไปตามแผนการนั้นด้วยตัววัดผลที่ชัดเจนอย่างเข้มงวด โดยรูปแบบการวางแผนขององค์กรแบบ Agile นั้นจะให้ความสำคัญกับ “ความยืดหยุ่น” และ “การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง” เพื่อให้องค์กรสามารถเดินไปในทางที่ดีที่สุดและมีทรัพยากรเพรียบพร้อมที่สุดท่ามกลางสภาพการแข่งขันที่แปรปรวนที่ไม่สามารถวางแผนล่วงหน้ายาวๆได้อีกต่อไป โดยแนวคิดหลักๆของการวางแผนแบบ Agile Enterprise ประกอบไปด้วย
ปิดท้าย กระบวนการวางแผนจัดสรรงบประมาณและการวัดผลขององค์กรแบบ Agile ส่วนใหญ่จะทำเป็นรอบๆทุกๆ 2-3 เดือนเพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกันของทั้งทีมการเงินผู้ถืองบประมาณและทีม Agile เจ้าของโครงการแต่ละทีม
6 | AGILE ORGANIZATION, STRUCTURES, AND PEOPLE MANAGEMENT
แก่นสำคัญลำดับต่อมาขององค์กรที่ต้องการพัฒตาไปเป็น Agile Enterprise ก็คือการปรับเปลี่ยน “ระบบปฏิบัติการ (operating model)” ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผังองค์กร แต่ต้องรวมไปถึงกระบวนการตัดสินใจ กระบวนการตรวจสอบ วิธีการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงาน วัฒนธรรมองค์กร การบริหารจัดการทรัพยากรคนและภาวะความเป็นผู้นำ ซึ่งแน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นต้องเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยอาศัยการทดลองเรียนรู้และปรับปรุงวิธีการไปเรื่อยๆเฉกเช่นเดียวกับวิธีการทำงานของทีม Agile
โดยหนึ่งในแนวคิดสำคัญของการออกแบบ operating model ขององค์กรแบบ Agile นั้นก็คือการออกแบบหน่วยธุรกิจ (business unit) แบบเอาความต้องการหรือประสบการณ์ของลูกค้าเป็นที่ตั้ง (customer-focused) เพื่อส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมตามการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าแต่ละกลุ่มและเป็นการขยายขอบเขตของการสร้างนวัตกรรมให้ไม่ยึดติดกับแค่ผลิตภัณฑ์หรือการบริการรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งโดยเฉพาะ [เฉกเช่นในกรณีของ Netflix ที่พัฒนา video streaming มาแทนที่บริการเช่าดีวีดีที่กำลังตกยุคเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้ากลุ่มเดิมที่เปลี่ยนแปลงไป] และการกระจายทีม Agile ให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแต่ละ business unit แทนการรวมศูนย์ทีม Agile ไว้ที่แกนกลางเพื่อช่วยกระจายอำนาจการสร้างนวัตกรรมไปยังหน่วยงานต่างๆและทำให้การเติบโตของนวัตกรรมเหล่านั้นไร้แรงต้านและช่วยเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจเดิมได้มากที่สุด
นอกจากนั้น อีกหนึ่งแนวคิดสำคัญของการออกแบบ operating model ขององค์กรแบบ Agile ก็คือการวางกลยุทธ์ด้านการจัดการทรัพยากรบุคคลให้สอดรับกับแนวคิดและความต้องการใหม่ๆของการทำ Agile อาทิ การพัฒนาความเข้าใจต่อ Agile ของพนักงานกลุ่มเดิมที่มีองค์ความรู้อันล้ำค่า, การพิจารณาหาช่องว่างของทักษะที่ขาดหายไปในองค์กรและเร่งเติมทีมงานตามความต้องการ, การสร้างแรงบันดาลใจให้กับพนักงานไฟแรงถึงคุณค่าขององค์กรและวิธีการทำงานรูปแบบใหม่, การออกแบบ career path ให้เหมาะสมกับผังองค์กรแบบ Agile ที่สามารถเติบโตได้ทั้งด้านเฉพาะทาง ด้านการจัดการหรือแม้กระทั่งการเป็นโค้ชด้าน Agile, การประยุกต์ใช้เครื่องมือการทำงานเป็นทีมและการเก็บ feedback ใหม่ๆที่เหมาะสม ไปจนถึง การให้รางวัลแบบทีมที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกันเป็นทีม Agile ที่แข็งแกร่งขึ้น
แนวทางการออกแบบผังองค์กรของ Spotify (source: Spotify)
7 | AGILE PROCESSES AND TECHNOLOGY
ปิดท้าย ถึงแม้ว่าองค์กรจะมีองค์ประกอบของ Agile Enterprise จากบทก่อนหน้าที่ครบสมบูรณ์แล้ว การสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วนั้นยังต้องขึ้นอยู่กับกระบวนการทั้งหมดขององค์กรที่ก็มักอิงตามขีดความสามารถทางเทคโนโลยีขององค์กรอีกทอดหนึ่ง องค์กรแบบ Agile จึงควรสร้างทีม Agile เพื่อเข้ามาปรับปรุงพัฒนากระบวนการต่างๆและพัฒนาเทคโนโลยีขององค์กรให้มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้นและสามารถตอบสนองต่อความต้องการที่รวดเร็วขึ้นของทีมงาน Agile ทีมอื่นๆได้
ซึ่งแนวคิดหลักๆของการออกแบบกระบวนการนั้นก็หนีไม่พ้นการออกแบบตามประสบการณ์ของลูกค้าทั้งภายในองค์กรและภายนอกองค์กรแทนวิธีคิดแบบเดิมๆที่หน่วยงานแต่ละแผนกมักออกแบบกระบวนการปฏิบัติการต่างๆตามความคิดของตัวเองจนนำมาสู่ปัญหาความซับซ้อนที่ไร้ประสิทธิภาพ นอกจากนั้น องค์กรควรนำแนวคิดการพัฒนาซอฟท์แวร์แบบ modular ที่เป็นการพัฒนาฟังค์ชั่นการทำงานที่มีขอบเขตเฉพาะและมีวิธีการเชื่อมต่อใช้งานที่ชัดเจนมาใช้ในการออกแบบกระบวนการต่างๆเพื่อลดความซับซ้อนและทำให้สามารถเชื่อมโยงกระบวนการต่างๆเข้าด้วยกันได้ง่าย ปิดท้าย องค์กรควรต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าทั้งในด้านของต้นทุนและความรวดเร็วในการ outsource กระบวนการบางส่วนไปให้กับผู้ให้บริการภายนอกที่มีประสิทธิภาพมากกว่า
8 | DOING AGILE RIGHT
อ่านมาถึงบทสุดท้ายกันแล้ว ทุกท่านก็คงพอเข้าใจว่าองค์กรที่จะประสบความสำเร็จในการนำเอาวิถีการทำงานแบบ Agile มาประยุกต์ใช้ได้ล้วนมีวิธีการปรับใช้และระยะเวลาในการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกันออกไปตามบริบทของแต่ละองค์กร
ยกตัวอย่างเช่น Amazon บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลกที่เริ่มต้นจากการเป็น e-commerce ที่ขายเฉพาะสินค้าของตัวเองแต่กลับสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ๆได้อย่างต่อเนื่อง อาทิ marketplace สำหรับร้านค้าข้างนอก, การให้บริการระบบ cloud computing ของ Amazon Web Services, การออกโปรแกรมสมาชิก Amazon Prime ที่รวมถึงบริการ video streaming และการผลิตผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Alexa นั้นก็มีรูปแบบการทำงานที่มีแนวคิดเหมือนกันกับหลักการของ Agile มากมาย อาทิ การให้ความสำคัญกับลูกค้าในระยะยาวอย่างบ้าคลั่งด้วยการพัฒนาประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าตลอดกระบวนการ, การจัดตั้งทีม two-pizza team ที่เป็นการรวมตัวกันของผู้คนจากหลากหน่วยงานเพื่อแก้ปัญหาหรือสร้างนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า, การออกแบบระบบและฟังค์ชั่นต่างๆของ platform เป็นแบบ modular ที่เอื้อประโยชน์ในการนำไปประยุกต์ใช้หรือเชื่อมโยงกันได้อย่างรวดเร็ว ไปจนถึง วิธีการนำเสนอโครงการที่ต้องสรุปเป็นเอกสารที่เริ่มต้นด้วยการจำลอง press release ที่ว่าด้วยผลประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับหากนวัตกรรมเหล่านั้นถูกปล่อยสู่ท้องตลาดเพื่อกระตุ้นให้ทีมงานเร่งเรียนรู้และเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง
ปิดท้าย ผู้เขียนทั้งสามก็ได้สรุปกฏในการประยุกใช้ Agile อย่างถูกต้อง 4 ข้อดังต่อไปนี้
<<< ติดตาม [สรุปหนังสือ] เล่มอื่นๆต่อได้ทางนี้เลยครับ [CLICK] >>>
<<< ที่สำคัญ อย่าลืมกดไลค์ Panasm’s Facebook Page เพื่อติดตามอัพเดทใหม่ๆของผมนะครับ [CLICK] >>>
<<< ปิดท้าย สิ่งที่ผมทำสรุปมานั้นเป็นเพียงแค่เนื้อหาส่วนที่ผมสนใจที่สุดของหนังสือเล่มนี้ สำหรับเพื่อนๆที่ถูกใจสรุปของหนังสือเล่มนี้ อย่าลืมซื้อหนังสือเล่มเต็มและอุดหนุนผู้เขียนกันด้วยนะครับ ขอบคุณที่ติดตามครับผม >>>
ประเภทอาหาร: Western Comfort Food คะแนนรีวิว: ★★★★ [...]
ประเภทอาหาร: Modern French คะแนนรีวิว: ★★★★★ [...]
by Yuval Noah Harari [...]
ประเภทอาหาร: Modern European with Asian Accents คะแนนรีวิว: ★★★★★ [...]
ประเภทอาหาร: Thai Seafood คะแนนรีวิว: ★★★ [...]
ประเภทอาหาร: Authentic Thai คะแนนรีวิว: ★★★★★ [...]