[สรุปหนังสือ] Inbound Marketing : การตลาดแบบแรงดึงดูด
by Content Shifu
“การตลาดที่ดีนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของการทำให้คนเห็นมากๆบ่อยๆหรือการมีโปรโมชั่นแรงๆที่จูงใจ แต่เป็นการทำให้คนรู้จักเราอย่างเป็นธรรมชาติและไว้เนื้อเชื่อใจเราต่างหาก”
ในยุคอุตสาหกรรม 2.0 ที่มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าถึงโลกของอินเตอร์เนตและข้อมูลจำนวนมหาศาลได้อย่างง่ายดาย “การตลาดแบบผลัก (outbound marketing)” หรือ การผลักดันข้อความที่แบรนด์อยากพูดให้กับผู้บริโภคโดยตรง เช่น การลงโฆษณาในช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์ นั้นสามารถสร้างการเติบโตให้กับแบรนด์ได้ตามต้นทุนและความสามารถในการเข้าถึงลูกค้า
แต่ในโลกยุคปัจจุบัน (และในโลกอนาคต) เทคโนโลยีต่างๆได้ทำให้ “อำนาจ” กลับมาอยู่ในมือของลูกค้าที่มีความสามารถในการตัดสินใจเลือกรับชม content ต่างๆได้เองเพียงแค่ปลายนิ้วคลิก “การตลาดแบบดึงดูด (inbound marketing)” นั้นจึงมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าและยั่งยืนกว่าในระยะยาว ซึ่งทีมผู้ก่อตั้งของ Content Shifu เว็ปไซต์ที่รวบรวมแหล่งความรู้ด้าน digital marketing ก็ได้รวบรวม 50 เคล็ดลับเบื้องต้นของศาสตร์การใช้งาน inbound marketing ไว้ในหนังสือเล่มนี้ไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
สรุปหนังสือ “Inbound Marketing : การตลาดแบบแรงดึงดูด” ตอนนี้ ผมขอนำเอาใจความสำคัญและเทคนิคการใช้งาน inbound marketing ต่อยอดจาก Content Shifu มานำเสนอในเฉพาะประเด็นที่ผมสนใจเป็นพิเศษ เชิญอ่านต่อได้เลย !!
<<< ก่อนเริ่มอ่าน อย่าลืมกดไลค์ Panasm’s Facebook Page เพื่อติดตามอัพเดทใหม่ของผมที่นี่ [CLICK] >>>
แนวทางปฏิบัติของ inbound marketing
Inbound marketing คือ หลักการตลาดที่มุ่งเน้นในการดึงดูดผู้รับสารกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาหาช่องทางของแบรนด์ด้วยตัวของพวกเขาเอง ผ่านกระบวนการ 4 ขั้นตอนหลักดังต่อไปนี้
ซึ่งการใช้งาน inbound marketing นั้นเหมาะสมกับสินค้าประเภท high involvement product หรือสินค้าที่ต้องการที่ลูกค้าต้องใช้เวลาในการค้นหาข้อมูลในการตัดสินใจ เช่น ที่ปรึกษาด้านการเงิน คอนโดและสินค้าแบบ B2B … การใช้งาน inbound marketing ที่อาศัยการเห็นผลในระยะยาว (กว่าจะเริ่มเห็นผลก็ประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี) นั้นยังสามารถทำควบคู่ไปกับการใช้งาน outbound marketing ที่สร้างผลลัพท์ในระยะสั้นได้อีกด้วย
frame work ของ inbound marketing (ขอบคุณภาพจาก Content Shifu)
รู้จักลูกค้าอย่างแท้จริงด้วย Persona
การทดสอบว่าเรารู้จักลูกค้าของแบรนด์จริงๆหรือเปล่า นั้นสามารถทำได้โดยวิธีการสร้าง persona หรือ ตัวตนที่ทำหน้าที่เป็น “ตัวแทน” ของลูกค้าในกลุ่มเป้าหมายต่างๆ (subsegment) ผ่านการศึกษาข้อมูลของกลุ่มลูกค้าเหล่านั้น ซึ่งช่วยให้สมาชิกทุกคนในทีมสามารถเห็นภาพของลูกค้าที่ตรงกันได้
การสร้าง persona ที่ดีนั้นต้องประกอบด้วยข้อมูลสำคัญ ได้แก่ who (ข้อมูลส่วนบุคคลและพฤติกรรม), what (ปัญหาและความต้องการ), why (การเข้าใจถึงเหตุผลสำคัญในการตัดสินใจ) และ how (การเลือกช่องทางในการสื่อสาร) ซึ่ง persona นั้นก็ควรได้รับการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมของธรรมชาติของแต่ละอุตสาหกรรม
ตัวอย่าง persona (ขอบคุณภาพจาก Google Analytics Thailand)
ประเภทของ content
Content สามารถแบ่งตามคุณค่าทางกาลเวลาได้ 2 รูปแบบ ได้แก่
content ยังสามารถแบ่งได้ตามรูปแบบในการนำเสนอที่สามารถแยกออกได้เป็น 2 แกนหลัก ได้แก่ แกนระหว่างการกระตุ้นด้านอารมณ์และการใช้เหตุผล กับแกนจุดประสงค์ระหว่างการสร้างการรับรู้และการทำให้เกิดการตัดสินใจ ในรูปด้านล่างคือ content matrix ที่สามารถแบ่ง content ออกได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ตามหลักการของ 2 แกนที่กล่าวไว้ ได้แก่
Content Shifu ให้ความเห็นว่ากลยุทธ์การผลิต content ที่ดีนั้นต้องยึด Quality (คุณภาพ) และ Consistency (ความสม่ำเสมอ) ก่อน Quantity (ปริมาณ) และการสร้าง content ที่ดีนั้นต้องมี “แนวการคิดแบบสื่อ” ที่ต้องมีความกระตือรือร้นในการมองหาเรื่องราวที่สดใหม่อยู่อย่างสม่ำเสมอและมีตารางแผนการการเผยแพร่ content ที่มีประสิทธิภาพ
Content matrix (ขอบคุณภาพจาก Smart Insights)
กระบวนการกรองลูกค้าผ่าน sales funnel
กระบวนการขายนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่
สิ่งหนึ่งที่นักการตลาดควรจะต้องทำก็คือการ “วัดผล” ของประสิทธิภาพของแต่ละกระบวนการตลอด sales funnel เช่น การวัดจำนวนผู้เข้าชมเว็ปไซต์ใน TOFU การวัดจำนวนคนที่มีความสนใจให้ข้อมูลกับแบรนด์ (lead) ใน MOFU และการวัดจำนวนการปิดการขายในช่วง BOFU จากนั้นก็วัดอัตราการแปลง (conversion rate) ของลูกค้าระหว่างแต่ละขั้นตอนเพื่อนำมาเปรียบเทียบกันดูว่ากระบวนการไหนมีจุดอ่อนและแก้ไขให้ตรงจุด เหมือนที่ Peter Drucker ปรมาจารย์ด้านการบริหารจัดการได้กล่าวไว้ว่า “If you can’t measure it, you can’t improve it.”
แผนภาพของ sales funnel (ขอบคุณภาพจาก Web Ascender)
อย่าวางไข่ในตะกร้าใบเดียว (การบริหารช่องทางการตลาด)
ช่องทางในการทำการตลอดออนไลน์นั้นมีหลากหลายช่องทางที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป ได้แก่
แบรนด์ควรเลือกช่องทางที่เหมาะสมกับตัวเองซัก 2-3 ช่องทางเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับช่องทางใดช่องทางหนึ่งที่แบรนด์ไม่ได้มีอำนาจในการควบคุม แล้วจึงค่อยๆขยายจำนวนช่องทางเมื่อแบรนด์มียอดขายและทีมงานที่มากขึ้นตามลำดับ
เปลี่ยนโบรชัวร์ให้เป็น landing page
Landing page คือ หน้าเว็ปไซต์ที่ได้รับการออกแบบให้ “ผู้ชมกลุ่มเป้าหมาย” เข้าถึงเป็นหน้าแรก [จากทั้ง search engine และโฆษณาออนไลน์ต่างๆ] เพื่อกระทำการตามจุดประสงค์บางอย่าง “เพียงเรื่องเดียว” [ทำให้ประสบการณ์การใช้งานตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย] โดยมีปุ่ม call-to-action เพื่อกระตุ้นให้เกิดการกระทำที่เราต้องการ อาทิ การขอข้อมูลส่วนตัวเพื่อแลกกับการดาวน์โหลดโปรแกรมทดลอง หรือ การสมัครสมาชิกเพื่อแลกกับสิทธิพิเศษแบบฟรีๆต่างๆ ซึ่งการออกแบบ landing page ยังสามารถใช้ข้อมูลของลูกค้าเพื่อแยกให้ลูกค้าแต่ละกลุ่มเข้าไปยัง landing page ที่ไม่เหมือนกันได้และแน่นอนว่ายิ่งออกแบบได้น่าสนใจเท่าไหร่ก็ยิ่งดี [landing page ไม่จำเป็นต้องมีหน้าเดียว]
ตัวอย่าง landing page ที่ออกแบบได้น่ากรอกข้อมูลให้มาก (ขอบคุณภาพจาก trulia.com)
เทคนิคหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ในการออกแบบ landing page อย่างมีประสิทธิภาพก็คือ 4P ที่ประกอบไปด้วย
P1: Promise การให้คำมั่นสัญญาและผลลัพธ์ที่คาดหวังแก่ผู้เข้าชม
P2: Picture การให้รายละเอียดที่ทำให้ผู้เข้าชมเห็นภาพถึงตัวผลิตภัณฑ์หรือการบริการได้อย่างรวดเร็ว
P3: Proof การให้หลักฐานเพื่อสร้างความเชื่อมั่น เช่น คำแนะนำของลูกค้าเก่า
P4: Push การกระตุ้นให้เกิดการกระทำผ่านปุ่ม call-to-action ต่างๆ
Marketing Automation
การทำการตลาดแบบดิจิตอลนั้นมีดีอยู่ที่ความสามารถในการวัดผลและความสามารถในการทำงานแอบอัตโนมัติผ่านโปรแกรม software ต่างๆ เช่น Hubspot ที่สามารถทำงานแทนนักการตลาดด้วยวิธีการต่างๆได้ อาทิ การให้คะแนนผู้เข้าชมเว็ปไซต์ตามพฤติกรรมของพวกเขา (lead scoring) เพื่อจัดเรียงลำดับความสำคัญของผู้เข้าชมแต่ละคน [แบรนด์อาจจะเลือกให้พนักงานขายโทรไปติดต่อกับลูกค้าที่ได้คะแนน XX คะแนนขึ้นไป เป็นต้น] การเลือกส่ง content ตามข้อมูลที่แตกต่างกันของ lead แต่ละคน การทำ A/B testing การทดลองเปรียบเทียบประสิทธิภาพของ content สองแบบ [เช่น รูปแบบของหน้าจอ ข้อความ รูปภาพ ไปจนถึงสีของปุ่ม call-to-action] เพื่อเลือกแบบที่ดีกว่าและ “drip marketing” การหยด content ที่เตรียมเอาไว้แล้วให้กับลูกค้าตามพฤติกรรมของพวกเขาตามลำดับที่ได้รับการออกแบบเอาไว้ ดูตัวอย่างในรูปด้านล่าง
ตัวอย่างแคมเปญ Drip Marketing (ขอบคุณภาพจาก Spry Ideas)
E-mail marketing มีพลังมากกว่าที่คุณคิด
ในยุคสมัยที่คนใช้งาน social media กันเป็นประจำ หลายคนอาจจะลืมนึกถึงช่องทางการสื่อสารของแบรนด์ผ่าน marketing e-mail ที่อาจจะดูเชยแต่ก็ยังคงมีประสิทธิภาพที่สูงกว่าช่องทางอื่นๆมาก [งานวิจัยต่างๆระบุว่าอัตราการคลิกในอีเมล์สูงกว่าใน facebook หลายทั่วตัว] แต่ทั้งนี้ การทำ e-mail marketing นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แบรนด์ควรจะต้องออกแบบการเก็บข้อมูลอีเมล์ของลูกค้าที่เป็น digital asset ของแบรนด์เองให้มีประสิทธิภาพและแบรนด์ควรเลือกใช้ software บริหารจัดการ e-mail อย่าง mailchamp มาช่วยส่ง e-mail จำนวนมากๆและวิเคราะห์ประสิทธิภาพต่อ
<<< ติดตาม [สรุปหนังสือ] เล่มอื่นๆต่อได้ทางนี้เลยครับ [CLICK] >>>
<<< ที่สำคัญ อย่าลืมกดไลค์ Panasm’s Facebook Page เพื่อติดตามอัพเดทใหม่ๆของผมนะครับ [CLICK] >>>
<<< ปิดท้าย สิ่งที่ผมทำสรุปมานั้นเป็นเพียงแค่เนื้อหาส่วนที่ผมสนใจที่สุดของหนังสือเล่มนี้ สำหรับเพื่อนๆที่ถูกใจสรุปของหนังสือเล่มนี้ อย่าลืมซื้อหนังสือเล่มเต็มและอุดหนุนผู้เขียนกันด้วยนะครับ ขอบคุณที่ติดตามครับผม >>>
ประเภทอาหาร: Western Comfort Food คะแนนรีวิว: ★★★★ [...]
ประเภทอาหาร: Modern French คะแนนรีวิว: ★★★★★ [...]
by Yuval Noah Harari [...]
ประเภทอาหาร: Modern European with Asian Accents คะแนนรีวิว: ★★★★★ [...]
ประเภทอาหาร: Thai Seafood คะแนนรีวิว: ★★★ [...]
ประเภทอาหาร: Authentic Thai คะแนนรีวิว: ★★★★★ [...]