[สรุปหนังสือ] INSPIRED : How to Create Tech Products Customers Love (2017)
by Marty Cagan
“Behind every great product, there is someone who led the product team to combine technology and design to solve real customer problems in a way that met the needs of the business.”
บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในปัจจุบัน อาทิ Amazon, Google, Facebook, Netflix และ Tesla นั้นต่างก็มีผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี (technology product) ที่ผ่านการวางแผน ออกแบบและพัฒนาอย่างยอดเยี่ยมจนผลิตภัณฑ์เหล่านั้นกลายมาเป็นที่รักของผู้คนนับร้อยนับพันล้านคนทั่วโลกได้อย่างน่าอัศจรรย์
โดยหนึ่งในกลไกสำคัญที่ทำให้บริษัทเหล่านั้นสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ก็คือ “technology product management” หรือ “การบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ทางเทคโนโลยี” หรือเรียกแบบย่อๆว่า “product management (PM)” ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ครอบคลุมตั้งแต่ การวางผังองค์กรที่ดูแลด้านการจัดการผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะ การบริหารจัดการทีมที่มีประสิทธิภาพสูง การค้นหาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งาน ไปจนถึง การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่นำมาสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง
INSPIRED คือ คัมภีร์ด้าน technology product management ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเบอร์ 1 ของวงการโดยฝีมือของ Marty Cagan กูรูผู้คว่ำหวอดอยู่ในวงการเทคโนโลยีมาอย่างยาวนานผู้ก่อตั้ง Silicon Valley Product Group ซึ่งหนังสือเล่มนี้ก็เป็น edition ที่ 2 หลังจากการประสบความสำเร็จอย่างมากจาก edition แรกที่เขียนขึ้นมาตั้งแต่ปี 2010
สำหรับทุกท่านที่ทำงานอยู่ในวงการเทคโนโลยีหรืออยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับศาสตร์ด้าน product management ก็ขอเชิญอ่านสรุปหนังสือที่ครบสมบูรณ์เล่มนี้กันได้เลยครับ
PART I | LESSONS FROM TOP TECH COMPANIES
เบื้องหลังของผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมมักมียอดฝีมือด้าน product management ที่คอยเชื่อมประสานเทคโนโลยีของทีมวิศวกรรมคอมพิวเตอร์เข้ากับการออกแบบของทีมดีไซเนอร์เพื่อแก้ปัญหาของลูกค้าได้อย่างแท้จริงและสามารถสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจขององค์กรได้ ไม่ว่าบุคคลเหล่านั้นจะอยู่ในตำแหน่ง product manager หรือแม้กระทั่งเป็น CEO หรือผู้ก่อตั้งองค์กร ศาสตร์ด้านการบริหารจัดการผลัตภัณฑ์นี้มีส่วนสำคัญอย่างมากในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถเป็นที่รักของผู้คนจำนวนมากได้
โดยถึงแม้ว่างานด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆนั้นถือเป็นงานสำคัญที่มีอยู่ในทั่วทุกองค์กรไม่ว่าจะเป็นบริษัท startup ที่กำลังพยายามค้นหา product/market fit, บริษัทที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วจากความสำเร็จในช่วงเริ่มต้น ไปจนถึง บริษัทยักษ์ใหญ่ที่พยายามสรรหานวัตกรรมใหม่ๆอย่างต่อเนื่องเพื่อความอยู่รอด แต่บริษัทส่วนมากนั้นกลับล้มเหลวในการบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ที่มักเกิดขึ้นจากการออกแบบกระบวนการวางแผนและโครงสร้างองค์กรที่เชื่องช้าและไร้ประสิทธิผล
ตรงกันข้าม บริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่าง Amazon, Google, Facebook, Netflix และ Tesla กลับมีแนวทางในการบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงที่จะกล่าวถึงในบทถัดๆไป แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ผู้เขียนได้สรุปหลักการสำคัญ 3 ประการในการสร้างกระบวนการ product management ที่นำมาสู่นวัตกรรมใหม่ๆอย่างต่อเนื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ได้แก่
PART II | THE RIGHT PEOPLE
II.I PRODUCT TEAMS
แน่นอนว่าพื้นฐานสำคัญที่ทำให้องค์กรสามารถประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ได้ก็คือ “ทีมผลิตภัณฑ์” ที่ประกอบไปด้วยทีมงานจากหลากหลายสายงานที่มารวมตัวกันในการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถแก้ไขปัญหาของลูกค้าได้จริงและตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจ โดยทีมผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงมักมีลักษณะเป็นเหมือน “ผู้เผยแพร่ศาสนา (missionary)” ทีต่างคนต่างมีความเชื่อมั่นต่อวิสัยทัศน์และมีแรงขับดันอันแรงกล้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่รักของลูกค้า ไม่ใช่ทีมงานแบบ “ทหารรับจ้าง (mercenary)” ที่สักแต่ว่าทำงานทีละชิ้นให้จบๆไป นอกจากนั้น ทีมผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงมักได้รับอำนาจในการตัดสินใจจากองค์กรในการคิดค้นวิธีแก้ปัญหาของลูกค้าในส่วนที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มเปี่ยมและมักเป็นทีมงานที่ทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง (durable) จนเข้าขากันอย่างลงตัว [ผู้เขียนแนะนำให้ทีมงานทุกคนนั่งอยู่ในออฟฟิศเดียวกันจะดีที่สุด]
ทีมผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงนั้นต้องประกอบไปด้วยสมาชิกที่เข้าใจบทบาทที่ตัวเองสามารถสร้างคุณค่าได้อย่างเต็มเปี่ยม อันประกอบไปด้วยหน้าที่ดังต่อไปนี้
II.II PEOPLE @ SCALE
ในขณะที่องค์กรขนาดเล็กหรือ startup นั้นสามารถบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยทีมผลิตภัณฑ์ไม่กี่ทีมที่ดูแลโดย CEO โดยตรง องค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการเร่งการเติบโตของผลิตภัณฑ์และสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องนั้นต้องวางโครงสร้างของทีมผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ (product leadership) ที่แข็งแกร่ง ซึ่งมักประกอบไปด้วยตำแหน่งดังต่อไปนี้
นอกจากนั้น องค์กรเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตหรือมีขนาดใหญ่แล้วนั้นยังต้องคำนึกถึงการวางโครงสร้างผังองค์กรของทีมผลิตภัณฑ์ที่อาจมีมากถึง 50 หรือ 100 ทีมซึ่งไม่สามารถบริหารจัดการด้วยโครงสร้างแบบมีผู้นำคนเดียวได้อีกต่อไป โดยถึงแม้ว่าการแบ่งโครงสร้างของทีมผลิตภัณฑ์ออกเป็นกลุ่มๆนั้นไม่มีทางที่จะสมบูรณ์แบบได้ ทุกการตัดสินใจมักมีข้อดีข้อเสียเสมอ แต่ผู้เขียนก็แนะนำหลักการในการกำหนดผังองค์กรด้านผลิตภัณฑ์นั้นว่าต้องมีความสอดคล้องกับกลยุทธ์การลงทุนและวิสัยทัศน์ขององค์กรเพื่อจัดสรรทรัพยากรให้ตรงตามอนาคตขององค์กร องค์กรยังต้องควรคำนึงถึงการกำหนดให้ทีมผลิตภัณฑ์แต่ละกลุ่มนั้นสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและองค์ความรู้ภายในกลุ่มร่วมกันให้ได้มากที่สุดและมีการเชื่อมโยงทับซ้อนระหว่างกลุ่มให้น้อยที่สุดเพื่อให้กลุ่มทีมผลิตภัณฑ์มีอำนาจในการบริหารจัดการด้วยตัวเองได้มากที่สุด
ปิดท้าย องค์กรยังต้องหาจุดสมดุลระหว่างการวางโครงสร้างพื้นฐานให้ทีมผลิตภัณฑ์ทุกทีมมีมาตรฐานในการทำงานที่ใกล้เคียงกันและการให้อำนาจและความอิสระกับทีมงานผลิตภัณฑ์ในการตัดสินใจได้อย่างเต็มที่ เพื่อยังคงสร้างแรงผลักดันในการทำงานแต่ก็ไม่ทำให้โครงสร้างของทีม เช่น ซอฟท์แวร์, ภาษาโปรแกรมมิ่งและจังหวะการทำงาน ไม่เหมือนกันจนสร้างปัญหาตามมา
PART III | THE RIGHT PRODUCT
III.I PRODUCT ROADMAP
หนึ่งในปัญหาสำคัญที่คอยฉุดรั้งองค์กรให้ไม่สามารถที่จะพัฒนานวัตกรรมเชิงผลิตภัณฑ์ใหม่ๆได้อย่างรวดเร็วและสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีก็คือ “การยึดติด” กับ “product roadmap” หรือแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มักเกิดขึ้นจากความคิดของผู้บริหารระดับสูงที่ส่งต่อให้ทีมผลิตภัณฑ์พัฒนาตามให้แล้วเสร็จ ซึ่งวิธีการดังกล่าวนั้นส่งเสริมให้ทีมผลิตภัณฑ์ทำหน้าที่เพียงแค่สร้างเพื่อให้ผลิตภัณฑ์นั้นเสร็จ โดยไม่สนใจว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนั้นตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและสร้างคุณค่าทางธุรกิจได้อย่างแท้จริงหรือไม่ นอกจากนั้น องค์กรแทบทุกแห่งก็น่าจะเห็นภาพตรงกันว่าแผนการที่วางไว้มักไม่เคยเป็นไปตามแผนได้เลย ทั้งจากการที่ผลิตภัณฑ์นั้นไม่ได้ตอบโจทย์ลูกค้าได้จริงอย่างที่คิดไว้ ผลิตภัณฑ์ไม่สามารถเชื่อมโยงกับโครงสร้างธุรกิจหลักได้และกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์เกิดความล่าช้าจากการต้องแก้ไขปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
แนวทางในการบริหารจัดการผลิตภัณฑ์แบบประสิทธิภาพสูงนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับ “ผลลัพธ์” เป็นหลัก โดยที่ยังคงสามารถตอบโจทย์ผู้บริหารที่ต้องการมองเห็นถึงแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในอนาคตข้างหน้าและยังคงอุ่นใจว่าทีมผลิตภัณฑ์นั้นเข้าใจความต้องการของธุรกิจและจัดลำดับความสำคัญได้อย่างถูกต้อง ด้วยการกำหนดวิสัยทัศน์ด้านผลิตภัณฑ์ (product vision) และวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ (business objective) เพื่อเป็นแนวทางให้ทีมผลิตภัณฑ์เข้าใจถึงเป้าประสงค์ขององค์กรและทำหน้าที่ในการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบรับเป้าประสงค์นั้น โดยทีมผลิตภัณฑ์เองก็ต้องมีพันธกรณี (commitment) ในการกำหนดแผนการพัฒนาและปล่อยผลิตภัณฑ์หลังจากที่พวกเขาได้ใช้เวลาในการคิดค้นและประเมินโอกาสของผลิตภัณฑ์อย่างเหมาะสมแล้วเพื่อให้ผู้บริหารและหน่วยงานอื่นๆ อาทิ ฝ่ายการตลาดและฝ่ายขาย เตรียมแผนทางธุรกิจต่อไปได้อย่างราบรื่นที่สุด
III.II PRODUCT VISION
การกำหนดวิสัยทัศน์ด้านผลิตภัณฑ์ขององค์กรที่ยิ่งใหญ่และท้าทายเป็นเสมือนการฉายภาพอนาคตอันน่าตื่นเต้นให้กับทีมผลิตภัณฑ์และทีมงานที่เกี่ยวข้องในแผนกอื่นๆให้ได้เห็นแนวทางที่ตรงกันอย่างชัดเจนว่าองค์กรกำลังจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ไปในทิศทางไหนในอีก 2-5 ปีข้างหน้า เพื่อให้ทีมงานเข้าใจและสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องไปกับภาพของอนาคตที่พวกเขาเองก็ควรที่จะตื่นเต้นและมีแรงบันดาลใจที่จะเดินไปในทิศทางนั้นด้วยเช่นกัน โดยวิสัยทัศน์ด้านผลิตภัณฑ์ที่ดีนั้นควรเป็นไปตามหลักการต่อไปนี้
โดยหลังจากที่องค์กรได้กำหนดวิสัยทัศน์ด้านผลิตภัณฑ์เสร็จแล้ว ลำดับถัดมาที่องค์กรผลิตภัณฑ์ต้องทำก็คือการวางกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ (product strategy) ที่เป็นการ “จัดลำดับความสำคัญ” ของกิจกรรมต่างๆที่ต้องเกิดขึ้นเพื่อทำให้วิสัยทัศน์นั้นเป็นจริงได้และ “โฟกัส” ทรัพยากรไปยังกิจกรรมที่มีความสำคัญที่สุดก่อนโดยไม่เสียเวลาทำทุกอย่างพร้อมๆกัน ซึ่งแน่นอนว่ากลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์นั้นก็ต้องสอดคล้องกับเป้าหมายของธุรกิจ มีความเป็นไปได้จริงตามโครงสร้างองค์กรและให้ความสำคัญไปที่ผลลัพธ์ในการแก้ปัญหาของลูกค้าไม่ใช่การสร้างผลิตภัณฑ์ให้เสร็จๆไปหรือคัดลอกจากคู่แข่งที่อาจไม่ได้ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างแท้จริง
III.III PRODUCT OBJECTIVE
เมื่อวิสัยทัศน์ด้านผลิตภัณฑ์ถูกกำหนดอย่างชัดเจนแล้ว ลำดับถัดมาก็คือการวางระบบการจัดการที่สามารถทำให้ทีมงานผลิตภัณฑ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเดินทางไปสู่เป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงโดยยังคงแนวคิดที่ว่า “ผู้นำควรทำหน้าที่ฉายภาพให้ทีมงานเห็นเป้าหมายที่น่าตื่นเต้นและบอกเพียงแค่โจทย์ที่พวกเขาต้องลงมือแก้ปัญหา โดยปล่อยให้ทีมงานที่ได้รับอำนาจการตัดสินใจและความไว้วางใจอย่างเต็มที่คิดหาแนวทางและวิธีการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นด้วยตัวเอง” และแนวคิดการวัดผลงานจากผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการแก้ปัญหาให้กับลูกค้าและสร้างคุณค่าตามเป้าประสงค์ของธุรกิจได้อย่างแท้จริงไม่ใช่เพียงแค่การทำผลิตภัณฑ์ให้เสร็จๆไปโดยไม่ได้ประโยชน์อะไร
โดยเครื่องมือที่องค์กรเทคโนโลยีชั้นนำนิยมใช้กันอย่างได้ผลก็คือ Objectives and Key Results (OKR) ที่เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์และผลลัพธ์สำคัญของทั้งระดับองค์กรและระดับทีมงานผลิตภัณฑ์ โดย OKR มักเริ่มต้นจากระดับผู้นำสูงสุดขององค์กรที่ตั้งวัตถุประสงค์หลักๆที่ผู้นำของหน่วยงานผลิตภัณฑ์ต้องรับช่วงต่อมากระจายวัตถุประสงค์เหล่านั้นให้กับทีมงานแต่ละทีมพร้อมให้ทีมงานเป็นผู้กำหนดผลลัพธ์ที่วัดผลได้จริงและสร้างคุณค่าแก่ธุรกิจและลูกค้าอย่างแท้จริงที่สอดรับกับวัตถุประสงค์แต่ละหัวข้อ โดยผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ก็ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบและกำกับให้ OKR ของทีมงานผลิตภัณฑ์แต่ละทีมและสมาชิกแต่ละคนของทีมที่มาจากต่างหน่วยงานนั้นสอดคล้องกันอย่างราบรื่นที่สุด
ยิ่งองค์กรมีการขยายขนาดมากยิ่งขึ้น การวางระบบ OKR อย่างโปร่งใสที่พนักงานทุกคนสามารถเข้าใจ OKR หลักระดับองค์กรอย่างชัดเจนและเชื่อมโยงเข้ากับ OKR ของทีมและของตัวเองได้นั้นคือเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง นอกจากนั้น องค์กรขนาดใหญ่ยังต้องมีการกำหนดพันธกรณีคำมั่นสัญญาอย่างซื่อสัตย์สูง (high-integrity commitment) ของทีมงานผลิตภัณฑ์บางทีมที่ทำงานในผลิตภัณฑ์ที่มีความสำคัญสูงและเกี่ยวพันกับหน่วยงานหลากหลายทีมเพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องเหล่านั้นสามารถวางแผนการของตัวเองล่วงหน้าให้สอดรับกับผลิตภัณฑ์นั้นได้ นอกจากนั้น ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ก็ต้องทำหน้าที่เป็นผู้เผยแพร่ (evangelist) ความน่าตื่นเต้นของวิสัยทัศน์และวัตถุประสงค์ของผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอเพื่อสร้างการรับรู้และแรงจูงใจให้กับพนักงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายช่วยกันผลักดันให้ผลิตภัณฑ์นั้นๆเกิดขึ้นมาได้จริง
PART IV | THE RIGHT PROCESS
IV.I PRODUCT DISCOVERY
หลักการในกระบวนการทำงานของทีมผลิตภัณฑ์นั้นสามารถสรุปสั้นๆได้ว่า “ทีมผลิตภัณฑ์ต้องเร่งเรียนรู้จากลูกค้าเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่สร้างคุณค่าให้กับพวกเขาและธุรกิจขององค์กรให้อย่างรวดเร็วที่สุดและปล่อยผลิตภัณฑ์นั้นอย่างมีความมั่นใจและไว้วางใจได้” ซึ่งแน่นอนว่าหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของ product manager ก็คือ product discovery หรือ การคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่สามารถแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้อย่างแท้จริงและรวดเร็วที่สุดโดยให้ความมั่นใจได้ว่าไอเดียของผลิตภัณฑ์นั้นควรค่าแก่การนำไปพัฒนาต่อจริงๆ ซึ่งกระบวนการคิดค้นผลิตภัณฑ์นั้นต้องสามารถตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงทั้ง 4 ประการได้ ดังนี้
นอกจากนั้น กระบวนการคิดค้นผลิตภัณฑ์แบบประสิทธิภาพสูงยังต้องคำนึงถึงหลักการสำคัญดังต่อไปนี้
IV.II DISCOVERY FRAMING TECHNIQUES
องค์ประกอบแรกของกระบวนการคิดค้นผลิตภัณฑ์ก็คือ “discovery framing” หรือ การกำหนด “กรอบ” ของการคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่มีวัตถุประสงค์หลักๆในการสร้างความชัดเจนของเป้าประสงค์และผลลัพธ์ที่ต้องการของผลิตภัณฑ์ให้สมาชิกในทีมทุกคนทราบอย่างทั่วถึงกันและการค้นหาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบและถี่ถ้วน
โดยเทคนิคแบบเรียบง่ายที่สุดในการทำ discovery framing ก็คือ “การประเมินโอกาส (opportunity assessment)” ด้วยการตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบหลัก 4 ประการที่เมื่อผู้เกี่ยวข้องทุกคนได้รับทราบจะสามารถช่วยให้พวกเขาเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายของทีมผลิตภัณฑ์นี้ได้อย่างชัดเจนตรงกัน ได้แก่
นอกจากนั้น ยังมีเทคนิคในการตีกรอบเป้าประสงค์ของผลิตภัณฑ์อีกมากมาย อาทิ Amazon ที่เลือกให้ทีมผลิตภัณฑ์เขียนข่าวประชาสัมพันธ์ (press release) ที่จำลองสถานการณ์หลังจากที่ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นได้ถูกปล่อยออกมาให้ลูกค้าใช้ประโยชน์แล้ว หรือ อีกวิธีการที่ผู้เขียนแนะนำก็คือการจำลอง “จดหมายของลูกค้า (customer letter)” ที่เขียนขอบคุณบริษัทว่าผลิตภัณฑ์นั้นช่วยให้ชีวิตของเขาดีขึ้นอย่างไรบ้าง ซึ่งเทคนิคนี้ช่วยทั้งการสร้างความเข้าใจและแรงขับดันให้กับพนักงานในการผลักดันคุณค่าที่วาดภาพไว้ให้ส่งไปถึงลูกค้าได้จริง
ปิดท้าย ทีมผลิตภัณฑ์ยังสามารถใช้เครื่องมือง่ายๆอย่าง business model canvas หรือ startup canvas ที่ช่วยบังคับให้ทีมผลิตภัณฑ์คิดถึงองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องได้อย่างครบถ้วนและสามารถชี้เป้าความเสี่ยงสำคัญที่ต้องได้รับการจัดการอย่างถี่ถ้วนที่สุด
โมเดล business model canvas (source: businessmodelgeneration)
IV.III DISCOVERY PLANNING TECHNIQUES
องค์ประกอบลำดับที่ 2 ของกระบวนการคิดค้นผลิตภัณฑ์ก็คือ “discovery planning” หรือ การ “วางแผน” การคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมและมีการจัดลำดับความสำคัญอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแน่นอนว่าเทคนิคที่ตรงไปตรงมาที่สุดก็คือการวาดแผนผังเส้นทางของลูกค้า (customer journey) ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ทั้งหมดและระบุกิจกรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ครบถ้วนที่สุดก่อนที่จะทำการจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนมาเป็นแผนงานที่มีกำหนดการก่อนหลังชัดเจน
แต่อีกหนึ่งเทคนิคที่ผู้เขียนแนะนำก็คือ “customer discovery program” ซึ่งมีแนวคิดหลักในการแสวงหา “ลูกค้าอ้างอิง (reference customer)” ที่ต้องเป็นลูกค้าที่ประสบกับปัญหาที่องค์กรต้องการจะแก้จริงๆอย่างรุนแรงมากพอที่จะทำให้พวกเขาพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับทีมผลิตภัณฑ์ในการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อใช้ในการวางแผนการคิดค้นผลิตภัณฑ์อย่างครอบคลุมและทำการทดสอบผลิตภัณฑ์พร้อมให้ feedback อย่างละเอียดตลอดทั้งกระบวนการ ไปจนถึง การเป็นกระบอกเสียงให้กับองค์กรหากผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาแล้วสามารถช่วยแก้ความเจ็บปวดของพวกเขาได้จริง ซึ่งผู้เขียนแนะนำว่าทีมผลิตภัณฑ์ต้องหาลูกค้าอ้างอิงให้ได้อย่างน้อย 6 คนสำหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจและกลุ่มลูกค้าที่เป็นพนักงานภายในองค์กรและอาจจะต้องการจำนวนที่มากขึ้นหากลูกค้าเป็นผู้บริโภครายย่อย [โดยหากทีมผลิตภัณฑ์ไม่สามารถหาลูกค้าที่ประสบปัญหาอย่างเจ็บปวดและพร้อมลงแรงเป็นส่วนหนึ่งกับทีมผลิตภัณฑ์อย่างเต็มที่ได้นั้นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าปัญหาที่ทีมผลิตภัณฑ์กำลังแก้ไขอยู่นั้นไม่ใช่ปัญหาที่สำคัญมากเพียงพอ]
IV.IV DISCOVERY IDEATION TECHNIQUES
องค์ประกอบลำดับที่ 3 ของกระบวนการคิดค้นผลิตภัณฑ์ก็คือ “discovery ideation” หรือ การ “เฟ้นหาไอเดีย” เพื่อใช้ต่อยอดในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้จริง ซึ่งผู้เขียนก็แนะนำเทคนิคสำคัญ 4 แนวทาง ได้แก่
IV.V DISCOVERY PROTOTYPING TECHNIQUES
องค์ประกอบลำดับที่ 4 ของกระบวนการคิดค้นผลิตภัณฑ์ก็คือ “discovery prototyping” หรือ การพัฒนา “ผลิตภัณฑ์จำลอง (prototype)” เพื่อใช้ทดลองเรียนรู้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุดว่าผลิตภัณฑ์ที่คิดไว้นั้นสามารถสร้างคุณค่าได้จริงและสามารถจัดการกับความเสี่ยงทั้ง 4 ด้านที่กล่าวไว้ข้างต้นได้ตั้งแต่เนิ่นๆ โดยอาศัยการพัฒนาแบบ “build things that don’t scale” ที่เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์จำลองแบบเร็วๆที่ใช้ในการทดสอบได้โดยไม่ต้องมีประสิทธิภาพและคุณภาพเดียวกับผลิตภัณฑ์จริง ซึ่งการพัฒนา protoype นั้นยังเป็นกระบวนการสำคัญที่ทำให้ทีมผลิตภัณฑ์คิดถึงองค์ประกอบต่างๆอย่างลึกซึ้งกว่าการแค่คิดบนแผ่นกระดาษหรือสไลด์มาก โดย protoype นั้นมีอยู่ด้วยกัน 4 แบบหลักๆ ได้แก่
IV.VI DISCOVERY TESTING TECHNIQUES
องค์ประกอบลำดับที่ 5 ของกระบวนการคิดค้นผลิตภัณฑ์ก็คือ “discovery testing” หรือ การ “ทดสอบ” ไอเดียผลิตภัณฑ์ว่าสามารถสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าจนพวกเขาตัดสินใจซื้อหรือใช้งานหรือไม่ ว่าลูกค้าสามารถใช้งานได้อย่างเข้าใจตามความคาดหวังหรือไม่ ว่าทีมวิศวกรรมจะสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างสมบูรณ์ตามทรัพยากรที่มีหรือไม่และว่าผลิตภัณฑ์นั้นจะได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดหรือไม่ โดยกระบวนการทดสอบไอเดียผลิตภัณฑ์นั้นก็เป็นไปตามความเสี่ยงทั้ง 4 ข้อ ดังนี้
IV.VII TRANSFORMATION TECHNIQUES
ปิดท้าย องค์กรที่ต้องการปรับเปลี่ยนกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์มาสู่รูปแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นไปกว่าเดิมนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ภายในระยะเวลาอันสั้นและต้องอาศัยการวางแผนการปฏิรูปองค์กรที่ก็ยึดเอาหลักการทดลองเรียนรู้อย่างรวดเร็วเป็นที่ตั้งเช่นกัน อาทิ การทดลองระบบการทำงานรูปแบบใหม่กับทีมผลิตภัณฑ์บางทีมก่อนเพื่อประเมินประสิทธิภาพและพัฒนาให้เข้ากับบริบทขององค์กรมากยิ่งขึ้น การสร้างมาตรฐานของวงจรการทำงาน (sprint) ที่มีการกำหนดวิธีการทำการคิดค้นผลิตภัณฑ์ภายใน 1-2 สัปดาห์ไว้อย่างละเอียดเพื่อช่วยวางแนวทางให้กับทีมงานในช่วงเริ่มต้น การสร้างทีมโค้ชด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ควรเป็น product manager ที่มีประสบการณ์มาก่อน ไปจนถึง การสร้างระบบการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ระหว่างทีมที่อาจให้ head of product management เป็นผู้รวบรวมและเล่าให้ทีมงานฟังสั้นๆประมาณ 15-30 นาทีในทุกๆ 1-2 สัปดาห์
5-day Sprint framework จากหนังสือ Sprint ของ Jake Knapp (source: medium)
PART V | THE RIGHT CULTURE
หลักการด้านการจัดการผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่กล่าวมาในหนังสือเล่มนี้ก็คือพื้นฐานสำคัญของ “วัฒนธรรมองค์กร” ด้านผลิตภัณฑ์ที่มีเป้าหมายในการสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องผ่านกระบวนการ product discovery ไปพร้อมๆกับการสร้างกระบวนการพัฒนาและปล่อยผลิตภัณฑ์ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง ท้ายที่สุดนี้ ผู้เขียนจึงได้สรุปองค์ประกอบสำคัญของวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อให้ทีมผลิตภัณฑ์สามารถสร้างคุณค่าได้อย่างสูงที่สุดต่อทั้งลูกค้าและธุรกิจ ดังต่อไปนี้
<<< ติดตาม [สรุปหนังสือ] เล่มอื่นๆต่อได้ทางนี้เลยครับ [CLICK] >>>
<<< ที่สำคัญ อย่าลืมกดไลค์ Panasm’s Facebook Page เพื่อติดตามอัพเดทใหม่ๆของผมนะครับ [CLICK] >>>
<<< ปิดท้าย สิ่งที่ผมทำสรุปมานั้นเป็นเพียงแค่เนื้อหาส่วนที่ผมสนใจที่สุดของหนังสือเล่มนี้ สำหรับเพื่อนๆที่ถูกใจสรุปของหนังสือเล่มนี้ อย่าลืมซื้อหนังสือเล่มเต็มและอุดหนุนผู้เขียนกันด้วยนะครับ ขอบคุณที่ติดตามครับผม >>>
ประเภทอาหาร: Western Comfort Food คะแนนรีวิว: ★★★★ [...]
ประเภทอาหาร: Modern French คะแนนรีวิว: ★★★★★ [...]
by Yuval Noah Harari [...]
ประเภทอาหาร: Modern European with Asian Accents คะแนนรีวิว: ★★★★★ [...]
ประเภทอาหาร: Thai Seafood คะแนนรีวิว: ★★★ [...]
ประเภทอาหาร: Authentic Thai คะแนนรีวิว: ★★★★★ [...]