[สรุปหนังสือ] The Startup Way : How Entrepreneurial Management Transforms Culture and Drives Growth (2017)
by Eric Ries
“I’ve made billions of dollars of failures at Amazon.com. Literally. None of these things are fun, but they also don’t matter. What matters is that companies that don’t continue to experiment or embrace failure eventually get in the position where the only thing they can do is make a Hail Mary bet at the end of their corporate existence. I don’t believe in bet-the-company bets.” – Jeff Bezos
หลังประสบความสำเร็จจาก The Lean Startup หนังสือเล่มแรกที่กลายมาเป็นกรอบของการทำงานของบริษัท startup ทั่วโลก ผู้เขียน Eric Ries ก็ได้รับการติดต่อจากองค์กรต่างๆมากมายหลากหลายขนาด ตั้งแต่ บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง General Electric ไปจนถึงบริษัท startup เกิดใหม่ขนาดเล็กที่ต่างก็มี “ปัญหาที่เหมือนกัน” นั่นก็คือ “การถดถอย” ของอัตราการเติบโตของธุรกิจและการสร้างนวัตกรรมใหม่เมื่อองค์กรมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 6 ปี Eric Ries ได้พิสูจน์แล้วว่าปรัชญา The Lean Startup สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับองค์กรในทุกรูปแบบเพื่อสร้าง “วัฒนธรรมของผู้ประกอบการ” ที่นำพามาซึ่งการเติบโตและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ
The Startup Way คือ วิธีการบริหารผู้ประกอบการ (entrepreneurial management) ซึ่งเป็นเสมือน blueprint ขององค์กรในยุคสมัยใหม่ที่ผสมผสานหลักการบริหารจัดการองค์กรแบบดั้งเดิมเข้ากับธรรมชาติของการดำเนินธุรกิจแบบ startup เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ภายใต้หลักการสำคัญ 5 ข้อ อันประกอบไปด้วย
ผู้เขียน Eric Ries (ขอบคุณภาพจาก VentureBeat)
<<< ก่อนเริ่มอ่าน อย่าลืมกดไลค์ Panasm’s Facebook Page เพื่อติดตามอัพเดทใหม่ของผมที่นี่ [CLICK] >>>
PART ONE: THE MODERN COMPANY
Chapter 1 – Respect the Past, Invent the Future: Creating the Modern Company
บริบทของระบบธุรกิจในปัจจุบันนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากบริบทในอดีตเป็นอย่างมาก ทั้งจาก globalization การพัฒนาเทคโนโลยี การลดลงของต้นทุนการผลิตและต้นทุนการขนส่ง ต่างส่งผลให้การแข่งขันระหว่างธุรกิจในปัจจุบันนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน องค์กรส่วนใหญ่ต้องอาศัยการผลักดัน “นวัตกรรม” ที่แตกต่างและตอบโจทย์ต่อกลุ่มลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งระบบการบริหารจัดการและวัดผลงานอิงตาม “ยอดพยากรณ์” ยอดขายซึ่งเป็นเหตุการณ์ในอนาคต (ที่เป็นเรื่องแต่งและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน) และทำโทษ “ความล้มเหลว” (อย่าง Six Sigma ที่กำหนดให้กระบวนการต่างๆมีโอกาสผิดพลาดเพียงแค่ 3.4 ใน 1,000,000 ครั้งเท่านั้น) ขององค์กรในรูปแบบปัจจุบันนั้นไม่สามารถตอบโจทย์กับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันของตลาดได้อีกต่อไป
บริษัทสมัยใหม่ (modern company) นำเอาจุดแข็งของระบบการบริหารแบบดั้งเดิม อาทิ lean operation ในการสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือ เข้ากับระบบการดำเนินธุรกิจแบบ startup ที่มุ่งเน้นในการสร้างนวัตกรรมที่ส่งผลเชิงบวกต่อการเติบโตใน “ระยะยาว” ขององค์กรอย่างยั่งยืน บริษัทสมัยใหม่จะต้องส่งเสริมให้พนักงานทุกคนมีโอกาสในการเป็น “ผู้ประกอบการ” บริษัทสมัยใหม่จะต้องเติบโตด้วยการสร้างนวัตกรรมผ่าน “การทดลองอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว” บริษัทสมัยใหม่ต้องประกอบด้วยทีมงานแบบ cross-functional ที่รวมตัวกันเป็น “internal startup” ที่เชื่อมั่นในเป้าหมายและกล้าที่จะ “think big, start small, scale fast” (คิดให้ใหญ่, เริ่มให้เล็ก, เติบโตให้เร็ว) บริษัทสมัยใหม่จะต้องมีเป้าหมายระยะยาวและสร้างระบบการประเมินผลงานที่สอดคล้องกับการสร้างนวัตกรรม บริษัทสมัยใหม่ต้องมี portfolio ที่ประกอบไปด้วย smart experiment (การทดลองที่ฉลาด) และสามารถควบคุมต้นทุนของความล้มเหลวด้วยระบบการจัดสรรงบประมาณตามระดับขั้นความสำเร็จของแต่ละผลิตภัณฑ์ (metered funding) บริษัทสมัยใหม่จะต้องให้รางวัลกับความล้มเหลวเชิงบวกที่สามารถนำเอาความรู้ไปปรับใช้ต่อได้และบริษัทสมัยใหม่จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
Chapter 2 – Entrepreneurship: The Missing Function
ใครคือผู้ที่คอยทำหน้าที่ในการมองหาโอกาสและเริ่มดำเนินการโครงการใหม่ๆเพื่อการเติบโตของบริษัท ใครคือผู้ที่คอยเผชิญหน้าและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากความไม่แน่นอนของอนาคต ใครคือผู้ที่คอยผลักดันให้บุคลากรในองค์กรมีความคิดแบบผู้ประกอบการที่กล้าลงมือทำด้วยวิธีการทดลองแบบ lean startup ถ้าเป็นองค์กรขนาดเล็ก คำตอบคงหนีไม่พ้น “ผู้ก่อตั้ง” แต่ สำหรับองค์กรที่มีขนาดใหญ่ คำตอบเหล่านี้มักจะไม่มีความชัดเจนและไม่ใช่หน้าที่ของคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ ดังนั้น ตำแหน่งงานที่ Eric Ries คิดว่าองค์กรเกือบทั้งหมดนั้นขาดหายไปก็คือตำแหน่ง “ผู้ประกอบการ” (corporate entrepreneur) ซึ่งมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
การจัดตั้งหน่วยงานผู้ประกอบการขึ้นเป็นเหมือนการวางระบบ island of freedom (หรือ sandbox) ที่เปิดโอกาสและสนับสนุนให้พนักงานผู้มีความเป็นผู้ประกอบการอยู่ในตัวสามารถที่จะทำการทดลอง วัดผล เรียนรู้ แก้ไขและทดลองใหม่อย่างที่โครงสร้างองค์กรแบบเดิมไม่สามารถตอบโจทย์ได้ ซึ่งการควบคุมระบบนี้นั้นก็สามารถทำได้โดยการกำหนด “ข้อจำกัด” อย่าง คน งบประมาณและเวลาให้กับแต่ละโครงการ
Chapter 3 – A Startup State of Mind
“แก่นความคิด” ที่ทำให้คลื่นของ startup movement ที่เริ่มต้นใน Silicon Valley ประสบความสำเร็จและได้รับการต่อยอดต่อไปเรื่อยๆนั้นประกอบไปด้วยแนวคิดดังต่อไปนี้
Chapter 4 – Lessons from the Lean Startup
ปรัชญา Lean Startup ถือกำเนิดขึ้นใน Silicon Valley ซึ่งเป็นที่อยู่ของกลุ่มผู้นำที่พยายามพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของพวกเขาอยู่ตลอดเวลาด้วยนวัตกรรมใหม่ๆจนได้มาซึ่ง วิธีการไปสู่เป้าหมายที่กำหนดโดยวิสัยทัศน์ได้อย่างรวดเร็วที่สุดผ่านกรรมวิธีการจัดการธุรกิจแบบวิทยาศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่
องค์ประกอบที่ 1. Leap-of-Faith Assumptions (LOFA) : ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจนการพยากรณ์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้อย่างถูกต้อง การตั้ง “สมมุติฐาน” ที่มีผลสำคัญต่อความสำเร็จของแผนธุรกิจอย่างชัดเจนนั้นเป็นวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อนำไปสู่การทดลองพิสูจน์ความถูกต้องของข้อสมมุติฐานนั้นให้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด [ควรทำการทดลองที่สามารถมองเห็นผลได้ทันที เช่น เอาตัวอย่างผลิตภัณฑ์ไปให้ทดลองใช้ ไม่ใช่การทำเซอร์เวย์ลูกค้าแบบเดิมๆ] ซึ่ง LOFA ของผลิตภัณฑ์นั้นไม่จำเป็นต้องมีเพียงแค่ข้อเดียว
องค์ประกอบที่ 2. Minimum Viable Product (MVP) : MVP คือผลิตภัณฑ์ “เวอร์ชั่นเริ่มต้น” ที่ห่างไกลจากความสมบูรณ์แต่สามารถสร้าง “การเรียนรู้” ผ่านการทดสอบความถูกต้องของ LOFA ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด โดย startup ที่สามารถสร้าง validation cycle time หรือความถี่ในการตอบคำถามว่า “ไอเดียของพวกเขานั้นมีคุณค่าหรือไม่” ได้อย่างรวดเร็วที่สุดนั้นจะมีโอกาสสูงกว่าในการค้นพบกับ product/market fit (การที่ผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด) และแน่นอนว่าการทดสอบ LOFA หลายข้อนั้นสามารถใช้ MVP หลายตัวได้เช่นกัน
ตัวอย่างกรณีศึกษา MVP ของ Amazon: ในช่วงเริ่มต้น Jeff Bezos ต้องการทดสอบ LOFA ว่าร้านหนังสือออนไลน์สามารถสร้างยอดขายได้จริงหรือไม่ เขาใช้วิธีการสร้างเว็ปไซต์แบบง่ายๆโดยไม่ต้องมีหนังสือเป็นของตัวเอง เมื่อลูกค้าสั่งซื้อหนังสือ เขาก็เพียงแค่ออกจากบ้านไปซื้อหนังสือเล่มนั้นที่ร้านหนังสือและทำการจัดส่งเท่านั้นเอง [MVP อาจเป็นแค่ presentation หรือ การบรรยายถึงผลิตภัณฑ์นั้นๆให้กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายฟังก็ได้]
องค์ประกอบที่ 3. Validated Learning : การทดสอบผ่าน MVP นำมาสู่การเรียนรู้ว่า “ความต้องการของลูกค้าที่แท้จริงแล้วคืออะไร” และต้องสามารถวัดผลออกเป็น “ดัชนีชี้วัด” ที่เชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ของธุรกิจได้โดยตรง
องค์ประกอบที่ 4. Build-Measure-Learn : หัวใจสำคัญของ Lean Startup คือ การสร้างวงจรการ “สร้าง MVP – วัด Validated Learning – เรียนรู้เพื่อนำไปสร้าง LOFA อันถัดไป” อย่างรวดเร็วที่สุดเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุดอย่างต่อเนื่องตลอดการดำเนินธุรกิจ
องค์ประกอบที่ 5. Pivot or Presevere : การเรียนรู้จากการทำ MVP อย่างต่อเนื่องนั้นนำมาสู่การตัดสินใจที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อ (presevere) ผ่านวงจร Build-Measure-Learn หรือการ pivot ที่หมายถึง “การเปลี่ยนกลยุทธ์โดยยังคงรักษาไว้ซึ่งวิสัยทัศน์ของบริษัท” ซึ่งการตัดสินใจ pivot หรือ presevere ที่ดีนั้น ผู้เขียนแนะนำให้บริษัทกำหนดการประชุมเพื่อตัดสินใจรักษาหรือเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การทำธุรกิจทุกๆประมาณ 1 ถึง 3 เดือน ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการปลูกฝังแนวคิดของการกล้าตัดสินใจปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อลดความเสี่ยงจากการสูญเสียเวลาและเงินทุนจำนวนมหาศาลไปกับกลยุทธ์ที่ไม่ตอบโจทย์ที่แท้จริงของลูกค้า ดังนั้นการวัดผลการทำงานของทีมนั้นจึงต้อง “วัดที่ประสิทธิภาพในการเรียนรู้” ไม่ใช่ที่ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของกลยุทธ์นั้นๆ
Chapter 5 – A Management System for Innovation at Scale
ระบบการจัดการในรูปแบบ Startup Way ที่จะช่วยรักษาหรือสร้างพลังการสร้างนวัตกรรมแบบ startup ได้อย่างยั่งยืนในองค์กรที่มีขนาดใหญ่ขึ้นนั้นได้นำเอาข้อดีของกระบวนการจัดการแบบเก่ามาผนวกเข้ากับกระบวนการจัดการรูปแบบใหม่ด้วยการเพิ่ม entrepreneurial function เข้าไปในแผนผังองค์กรรูปแบบเดิมๆ (ดูตัวอย่างจากรูปด้านล่าง) เพื่อทำหน้าที่นำทีม internal startup ในการตอบสนองกับโอกาสหรือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากความไม่แน่นอนภายใต้กรอบของความเสี่ยงที่จำกัด ทั้งนี้ระบบการทำงานแบบใหม่ยังส่งผลในการสร้างกลุ่มผู้นำรุ่นใหม่ การรักษาพนักงานที่มีความสามารถในการสร้างนวัตกรรมให้อยู่กับองค์กรได้นานขึ้นและการรับรู้ถึงประโยชน์ของปรัชญา Lean Startup ที่ช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพให้กับองค์กรได้อย่างสมบูรณ์
ตัวอย่างแผนผังองค์กรแบบ Startup Way (ขอบคุณภาพจากหนังสือ Startup Way)
PART TWO: A ROAD MAP FOR TRANSFORMATION
Chapter 6 – Phase One: Critical Mass
การเริ่มต้นปฏิรูปองค์กรให้เป็นรูปแบบของ Startup Way นั้นมักจะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละบริบทขององค์กรเพื่อค่อยๆปรับโครงสร้างพื้นฐานและทัศคติขององค์กรให้มีความเชื่อมั่นกับรูปแบบการทำงานใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยผู้เขียนสรุปแนวทางหลัก 7 แนวทางหลักจากบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการปฏิรูปองค์กรจนเข้าสู่จุด critical mass ที่สร้างความสำเร็จจากระบบทำงานใหม่จนสามารถทำให้คนส่วนใหญ่ในองค์กรเชื่อในแนวทางของ Startup Way ได้ดังนี้
Chapter 7 – Phase Two: Scaling Up
หลังจากที่องค์กรสามารถพิสูจน์ถึงความสำเร็จของ Startup Way ผ่านการทดลองกับหลายๆหน่วยงานจนมีความเข้าใจในระบบการทำงานรูปแบบใหม่ที่เหมาะสมกับองค์กรและเข้าสู่จุด critical mass ที่พร้อมจะขยายขอบเขตของระบบการทำงานใหม่อย่างรวดเร็วให้ครอบคลุมทั้งองค์กรแล้ว การปฏิรูประบบการจัดการขั้นต่อไปนั้นควรมี 6 องค์ประกอบดังต่อไปนี้
แผนภาพการทำ Metered Funding แบบง่ายๆ (ขอบคุณภาพจาก Econic)
Chapter 8 – Phase Three: Deep Systems
หลังจากที่องค์กรสามารถสร้างเรื่องราวความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงใน phase ที่ 1 และ 2 ได้แล้ว การปฏิรูปองค์กรในขั้นสุดท้ายในการสร้างความ “ยั่งยืน” ของความสามารถในการผลิตนวัตกรรมผ่านระบบการทำงานรูปแบบใหม่นั้นต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงที่หยั่งรากลึกไปถึงโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรอย่าง “incentive structure” (โครงสร้างของการสร้างแรงกระตุ้นแก่พนักงาน) อาทิ ระบบการประเมินผลงานและระบบการจัดสรรทรัพยากร และเปลี่ยน Startup Way ให้กลายมาเป็นวัฒนธรรมองค์กรใหม่ จนเปรียบเสมือนการสร้างองค์กรเป็นครั้งที่ 2 (second founding) ซึ่งควรมีรายละเอียดและขั้นตอนที่แตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละองค์กร ซึ่งผู้เขียนได้สรุป 2 หัวข้อใหญ่ที่ทุกองค์กรควรทำดังนี้
From Gatekeeping Functions to Enabling Functions : การเปลี่ยนหน่วยงานที่ดูเหมือนจะเป็น “ข้อจำกัด” การทำงานของ internal startup อย่าง กฎหมาย บัญชี การเงิน ไอทีและทรัพยากรบุคคล ให้กลายมาเป็นหน่วยงานที่สนับสนุนการทำงานรูปแบบใหม่ซึ่งสามารถทำได้หลากหลายวิธี [ตัวอย่าง ทีมกฎหมายที่มักจะถูกมองว่าเป็นคนคอยขัดขวางการทำงานของ startup สามารถเปลี่ยนเป็นคนสนับสนุนได้ด้วยการเขียนไกด์ไลน์แบบสั้นๆว่าด้วยเรื่องที่ startup สามารถทำได้เลย เช่น สามารถส่ง MVP ให้ลูกค้าทดลองได้ 100 คนด้วยต้นทุนไม่เกิน 10,000 เหรียญ และเรื่องที่ต้องเข้ามาปรึกษาตามข้อกำหนดของบริษัท ซึ่งไกด์ไลน์นี้ยังช่วยบีบให้พนักงานในบริษัทเริ่มทำการทดลองแบบเล็กๆอย่างเหมาะสมตาม Startup Way อีกทอดหนึ่ง]
Compensation as Hiring Tool : การปรับระบบการให้ผลตอบแทนแก่พนักงานแบบดั้งเดิมที่ไม่ส่งเสริมให้เกิดการทำการทดลองที่มีโอกาสล้มเหลวให้เป็นรูปแบบใหม่ อาทิ การตอบแทนแบบ startup ที่มอบหุ้นให้กับทีมงาน หรือ การปรับเงื่อนไขในการประเมินผลงานของพนักงานให้รองรับความล้มเหลวจากการทดลองที่สมเหตุสมผล ทั้งนี้องค์กรควร “ทดลอง” ระบบการให้ผลตอบแทนใหม่เพื่อให้ได้ระบบที่เหมาะสมกับองค์กรที่สุดและระบบนั้นเองก็จะเป็นแรงดึงดูดให้คนที่เหมาะสมมาทำงานกับองค์กร
Chapter 9 – Innovation Accounting
ปัญหาใหญ่ของโครงสร้างการประเมินผลงานขององค์กรแบบดั้งเดิมคือการยึดติดกับ vanity indicator (ตัววัดที่ไม่ได้แสดงถึงผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น ยอดขาย จำนวนลูกค้าและ ROI) ซึ่งไม่เหมาะสมกับการทำงานแบบ startup ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนสูงและให้ความสำคัญกับ validated learning ดังนั้น องค์กรที่ยึดหลักการ Startup Way ต้องนำวิธีการประเมินผลงานรูปแบบใหม่ที่มุ่งไปที่ leading indicator มาใช้งานในรูปแบบที่เหมาะสมกับตัวเอง
Innovation Accounting คือ หลักการวัดผลการดำเนินงานที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรมที่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ของทีม ทรัพย์สิน โอกาสแห่งความสำเร็จและมูลค่าของความสำเร็จ ซึ่งผู้เขียนได้แบ่งออกเป็น 3 ระดับตามความซับซ้อน ได้แก่
ระดับที่ 1. Dashboard : สร้างตารางติดตามตัววัดกลุ่มของ leading indicator ที่แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของบริษัทอย่างชัดเจนและมีความต่อเนื่องกัน (เช่น ต้องมีการวัดอัตราการใช้งานของลูกค้าก่อนถึงจะวัดความพึงพอใจของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ) และมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของตัววัดแต่ละตัวเพื่อประเมินผลงานและแก้ปัญหาให้ถูกจุด
ระดับที่ 2. Business Case : สร้างตาราง dashboard ต่อยอดจากระดับ 1 ด้วยการเพิ่มตัววัดให้ครอบคลุมกระบวนการทางธุรกิจทั้งหมด ทั้งฝั่งการได้มาซึ่งรายได้และฝั่งต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง
ระดับที่ 3. Net Present Value : แปลงทุกอย่างเป็นเงินด้วยการคำนวณ NPV ของธุรกิจจากข้อมูลตัววัดที่เกี่ยวข้องและทำการคำนวณใหม่ทุกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของตัววัดต่างๆ (เช่น conversion rate เพิ่ม NPV ก็จะเพิ่มตาม) และแสดงผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงผ่านตัวเลข NPV ที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
องค์กรยังต้องจัดตั้งระบบ growth board ที่มีลักษณะเดียวกับกองทุน venture capital ซึ่งควรประกอบด้วยผู้บริหารที่รับผิดชอบทีมโดยตรงและผู้บริหารที่ไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงที่ทำหน้าที่เป็นคนนอกให้กับทีม (รวม 6-8 คน) ซึ่ง growth board นั้นต้องทำหน้าที่หลักดังต่อไปนี้
ซึ่งการจัดตั้ง growth board นั้นก็เหมือนกับการทำงานแบบ Startup Way อื่นๆที่ต้องอาศัยการทดลองจนกว่าจะได้วิธีการทำงานที่เหมาะสมกับองค์กร [ผู้เขียนแนะนำว่าถ้าองค์กรมีปัญหาการเมืองภายในเยอะให้จัดทำ growth board ส่วนกลางที่ทำงานแยกกับหน่วยงานภายในซึ่งสามารถขาย startup ที่ประสบความสำเร็จแล้วให้หน่วยงานที่อยากได้ต่ออีกทอดหนึ่งหรือจะตั้งเป็นหน่วยงานใหม่เลยก็ได้]
PART THREE: THE BIG PICTURE
Chapter 10 – A Unified Theory of Entrepreneurship
หลังจากที่องค์กรมีความชำนาญในการสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องแบบ Startup Way แล้ว ก้าวต่อไปก็คือการสร้าง “การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างขององค์กร” อย่างต่อเนื่อง (continuous transformation) เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตที่จะเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอนที่ต้องอาศัย “คุณสมบัติของผู้ประกอบการ” ในการนำเอาความสามารถในการทดลองมาคิดค้นนวัตกรรมการทำงานใหม่ให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งแน่นอนว่า ทีมผู้ประกอบการ (corporate entrepreneur) ผู้รับผิดชอบงานด้าน continuous transformation ขององค์กรนั้นควรจะต้องมีทักษะและได้รับการสนับสนุนไม่แตกต่างจากทีม internal startup ที่ดูแลด้านการสร้างนวัตกรรม ซึ่งความเป็นผู้ประกอบการที่ยึดมั่นกับหลักการทดลองนั้นสามารถทำให้พวกเขาทำหน้าที่สร้างนวัตกรรมได้ทั้งในรูปของผลิตภัณฑ์ ระบบไอที นโยบาย การลงทุนและการปรับโครงสร้างองค์กร
Chapter 11 – Toward a Pro-Entrepreneurship Public Policy
ในมุมของเศรษฐศาสตร์มหภาค การส่งเสริม “ผู้ประกอบการ” นั้นควรได้รับการบรรจุเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ต้องเข้ามาแก้ปัญหาหลัก 3 ประการของการเป็นผู้ประกอบการในปัจจุบัน ได้แก่
นอกจากนั้น รัฐบาลยังควรแก้ปัญหาการให้ความสำคัญกับผลตอบแทนระยะสั้นของโลกการเงินในปัจจุบัน (ที่สร้างปัญหาให้บริษัททำการ IPO น้อยลงหรือช้ากว่าเดิม) ซึ่งผู้เขียนได้เริ่มต้นแก้ปัญหานี้แล้วด้วยการก่อตั้ง “ตลาดหลักทรัพย์ระยะยาว” ที่ปรับโครงสร้างของนโยบายหลายๆส่วนให้นักลงทุนกับบริษัทมีความสนใจในการสร้างผลตอบแทนระยะยาวอย่างสอดคล้องกัน
<<< ติดตาม [สรุปหนังสือ] เล่มอื่นๆต่อได้ทางนี้เลยครับ [CLICK] >>>
<<< ที่สำคัญ อย่าลืมกดไลค์ Panasm’s Facebook Page เพื่อติดตามอัพเดทใหม่ๆของผมนะครับ [CLICK] >>>
<<< ปิดท้าย สิ่งที่ผมทำสรุปมานั้นเป็นเพียงแค่เนื้อหาส่วนที่ผมสนใจที่สุดของหนังสือเล่มนี้ สำหรับเพื่อนๆที่ถูกใจสรุปของหนังสือเล่มนี้ อย่าลืมซื้อหนังสือเล่มเต็มและอุดหนุนผู้เขียนกันด้วยนะครับ ขอบคุณที่ติดตามครับผม >>>
ประเภทอาหาร: Western Comfort Food คะแนนรีวิว: ★★★★ [...]
ประเภทอาหาร: Modern French คะแนนรีวิว: ★★★★★ [...]
by Yuval Noah Harari [...]
ประเภทอาหาร: Modern European with Asian Accents คะแนนรีวิว: ★★★★★ [...]
ประเภทอาหาร: Thai Seafood คะแนนรีวิว: ★★★ [...]
ประเภทอาหาร: Authentic Thai คะแนนรีวิว: ★★★★★ [...]