Categories: BooksNon-fictions

[สรุปหนังสือ] The Algebra of Wealth : A Simple Formula for Financial Security

 

 

[สรุปหนังสือ] The Algebra of Wealth : A Simple Formula for Financial Security (2024)

by Scott Galloway

 

“Happiness isn’t having what you want, it’s wanting what you’ve got.”

 

ระบบเศรษฐกิจแบบ “ทุนนิยม” คือ ระบบเศรษฐกิจที่สร้างผลิตภาพได้สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ แต่ขณะเดียวกันก็สร้างความเหลื่อมล้ำทางความมั่งคั่งระหว่างชนชั้นในสังคมที่นับวันก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจากความที่ทุนนิยมนั้นให้ความได้เปรียบแก่มหาเศรษฐีและองค์กรขนาดใหญ่มากกว่าคนธรรมดาและนักนวัตกรรมที่ไร้เงินทุน แต่เมื่อเราทุกคนต้องเติบโตในโลกที่ระบบทุนนิยมเป็นใหญ่และคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในเร็ววันนี้ การทำความเข้าใจกฏเกณฑ์และแนวทางในการสร้างความมั่งคั่งบนระบบทุนนิยมนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ

The Algebra of Wealth คือ คัมภีร์ในการสร้าง “ความมั่งคั่ง (wealth)” ในโลกทุนนิยมยุคปัจจุบันโดยฝีมือของ Scott Galloway ศาสตราจารย์ด้านการตลาดปากจัดแห่ง NYU เจ้าของหนังสือแนววิจารณ์ธุรกิจอย่าง The Four และ Post Corona ที่กลั่นกรองแนวคิดในการสร้างความมั่งคั่งออกมาเป็นสมการ “WEALTH = FOCUS + (STOICISM x TIME x DIVERSIFICATION)” โดยมีเป้าหมายในการสร้าง “ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ (economic security)” ที่รายได้จากการลงทุน (passive income) มีมากกว่ารายจ่ายที่เราแต่ละคนต้องการที่จะใช้จ่าย โดยความมั่นคงทางการเงินที่เกิดขึ้นนี้จะช่วยสร้างอิสรภาพในการเลือกใช้ชีวิตและการเลือกทำงานที่มีความหมายได้อย่างแท้จริงโดยปราศจากความเครียดในการต้องหาเงินที่แทบทุกคนต้องเผชิญอยู่ในทุกๆวัน

โดยองค์ประกอบทั้ง 4 ของสมการด้านความมั่งคั่งของ Scott Galloway นั้นก็มีความหมายดังนี้

  • STOICISM = การใช้ชีวิตด้วยคุณค่า (character) ที่แข็งแกร่งและมุ่งมั่นตั้งใจต่อทั้งตัวเอง ครอบครัวและสังคม
  • FOCUS = การหารายได้อย่างชาญฉลาดและรู้เท่าทันกลไกของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
  • TIME = เวลาที่ช่วยเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์ด้วยกลไกของดอกเบี้ยทบต้น (compound interest)
  • DIVERSIFICATION = หลักการในการลงทุนเพื่อสร้างรายได้โดยให้สินทรัพย์ทำงานแทน (passive income)

ขอเชิญทุกท่านอ่านสรุปหนังสือคัมภีร์ด้านความมั่งคั่งเล่มนี้ที่มีประเด็นที่สดใหม่จากผู้เขียนที่ผมชอบมากที่สุดคนหนึ่งเพื่อสร้างความมั่งคงทางการเงินและความสุขในการใช้ชีวิตบนโลกแบบทุนนิยมยุคใหม่นี้กันได้เลยครับ

 

ศาสตารจารย์ Scott Galloway (source: Ted.com)

 


 

1 | STOICISM

 

Character and Behavior

อุปสรรคใหญ่ที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถไปถึงเป้าหมายของตัวเองได้ก็คือการมีช่องว่างระหว่างสิ่งที่ตั้งใจจะทำ (intention) และสิ่งที่ทำจริงๆ (action) ที่มนุษย์มักรู้ว่าตัวเองนั้นควรต้องทำอะไรบ้างตามคุณค่าที่ตัวเองยึดมั่นแต่กลับไม่สามารถควบคุมตัวเองให้ลงมือทำสิ่งเหล่านั้นได้ ซึ่ง Scott Galloway ก็ได้นำเสนอแนวคิดแบบ Stoicism ซึ่งเป็นปรัชญากรีกในการดำเนินชีวิตอย่างมุ่งมั่นและอดทนในสิ่งที่ควบคุมได้ โดยอาศัยกระบวนการสร้างตัวตน (character) ที่นำมาสู่พฤติกรรม (behavior) ในแบบที่ต้องการผ่านคุณค่าสำคัญ 4 ประการ ได้แก่

  • Courage : ความกล้าหาญในการตัดสินใจโดยไม่ตกเป็นทาสของความกลัวและความต้องการที่ไม่ตรงกับแก่นของตัวตน
  • Wisdom : ปัญญาในการทำความเข้าใจว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมและสิ่งไหนคือสิ่งที่สามารถควบคุมได้
  • Justice : ความยุติธรรมที่นำมาสู่การตัดสินใจที่ยึดมั่นต่อผลประโยชน์ของส่วนรวม
  • Temperance : การควบคุมอารมณ์เพื่อต่อต้านต่องสิ่งเร้าโดยยึดหลักการแห่งความพอประมาณไม่มากไปและไม่น้อยไป

โดยการพัฒนาตัวตน (character) นั้นก็มีแนวทางเฉกเช่นเดียวกับการพัฒนานิสัย (habit) ที่มีเป้าหมายสูงสุดคือการพัฒนาให้ “การตัดสินใจแบบอัตโนมัติ (automatic response) โดยไม่ได้ตั้งใจนึกคิดทั้งหมดของเรานั้นตรงกับการตัดสินใจของเราในกรณีที่มีเวลาไตร่ตรองก่อนเสมอ“ เพราะสาเหตุสำคัญที่ทำให้มนุษย์ลงมือทำในสิ่งที่ไม่ตรงกับคุณค่าของตัวเองก็คือการใช้ชีวิตแบบอัตโนมัติตามการตัดสินใจตามสัญชาตญาณเพื่อความอยู่รอดระยะสั้นตั้งแต่ยุคหินที่มีบริบทไม่ตรงกับในยุคปัจจุบันแล้ว ดังนั้น การเริ่มฝึกพัฒนาตัวตนจึงสามารถทำได้ด้วยการฝึก “ชะลอการตัดสินใจแบบอัตโนมัติลงและเพิ่มช่องว่างให้เวลาไตร่ตรองในการตัดสินใจอย่างตั้งใจต่อการกระทำของตัวเองเป็นระยะๆ” ที่จะค่อยๆปรับให้การตัดสินใจแบบอัตโนมัติทั้งหมดนั้นตรงกับคุณค่าและตัวตนที่ต้องการเป็นมากขึ้นเรื่อยๆในทุกๆวัน

 

Building a Strong Character

ผู้เขียน Scott Galloway ได้กลั่นกรองประสบการณ์ชีวิตของตัวเองออกมาเป็นแนวคิดในการพัฒนาตัวตนอย่างมีคุณค่า ดังต่อไปนี้

  • Seek Rewards, Don’t Depend on Them : การทำงานหนักและการหาเงินมาได้มากๆนั้นเป็นส่วนหนึ่งของหนทางสู่การสร้างความมั่งคั่งและความสุข แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะเมื่อคุณมีเงินมากขึ้น ความต้องการในการใช้จ่ายก็จะเพิ่มสูงขึ้นตามไม่รู้จบ ดังนั้น การทำความเข้าใจสมดุลของตัวเองระหว่างเงินกับความสุขในรูปแบบอื่นๆ อาทิ การสร้างความสัมพันธ์และการสร้างประโยชน์ต่อส่วนรวม จึงเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงอยู่เสมอ
  • Recognize the Role of Luck : การตระหนักรู้อยู่เสมอว่าโชคนั้นมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว โดยไม่หลงเข้าใจผิดว่าความสำเร็จทั้งหมดนั้นเกิดจากตัวเองโดยไม่มีโชคช่วยที่มีแต่จะสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองที่มากจนเกินไปและไม่หลงมัวแต่โทษโชคชะตาต่อความล้มเหลวที่เกิดขึ้นจนไม่เรียนรู้และพัฒนาตัวเอง ดังนั้น จงหมั่นวิเคราะห์ถึงปัจจัยที่นำมาสู่ความสำเร็จและความล้มเหลวและเรียนรู้เพื่อก้าวต่อไปอยู่เสมอ
  • Acknowledge Emotional Responses : การทำความเข้าใจอารมณ์ของตัวเองอยู่เสมออย่างมีสติและรับมือกับมันอย่างชาญฉลาด อาทิ การตระหนักรู้ว่าอารมณ์ที่รู้สึกในตอนนี้มันไม่ได้ส่งผลต่อชีวิตอย่างรุนแรงเท่ากับที่รู้สึกในตอนนี้จริงๆและทุกอย่างก็จะค่อยๆผ่านไปโดยไม่ต้องเสียเวลาและแรงใจไปกับการกังวัลที่มากจนเกินไป หรือ การตระหนักรู้ถึงความโกรธต่อการกระทำของผู้อื่นซึ่งเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ด้วยตัวของเราเองและเลือกที่จะไม่เสียเวลาและแรงใจไปกับการตอบโต้กลับโดยไม่จำเป็นที่ไม่น่าจะได้ผลดีอะไร ซึ่ง Scott Galloway ก็แนะนำแบบแสบๆต่อว่า “การแก้แค้นที่ดีที่สุดคือการมีชีวิตที่ดีกว่าคนคนนั้น”
  • Sweat : การออกกำลังกายอยู่เสมอเพื่อสร้างพลังงานให้ร่างกายกระฉับกระเฉงและให้สมองสดชื่น โดยการลงทุนด้านเวลาในการออกกำลังกายมักได้ทุนคืนเป็นผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นจากพลังงานที่ฟื้นฟูคืนมาอยู่เสมอ
  • Make Good Decisions : การทำความเข้าใจและพัฒนากระบวนการตัดสินใจของตัวเองอยู่เสมอ ซึ่ง Scott Galloway แนะนำว่าเราควรหมั่นที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองบ่อยๆเพื่อฝึกฝนกล้ามเนื้อในการตัดสินใจและพร้อมที่จะเรียนรู้และปรับเปลี่ยนการตัดสินใจของตัวเองหากข้อมูลและบริบทมีการเปลี่ยนแปลง โดยมนุษย์ในช่วงบั้นปลายมักรู้สึกเสียดายการไม่ได้ตัดสินใจของตัวเองมากกว่าการตัดสินใจที่ผิดพลาด

 

Building a Strong Community

นอกจากการสร้างตัวตนที่แข็งแกร่งแล้ว ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตยังมักลงทุนและสามารถสร้างคุณค่าทั้งการได้รับและการให้จากผู้คนและสังคมรายรอบที่พึ่งพาอาศัยกันและกันอยู่เสมอ โดย Scott Galloway ก็ยกแนวคิดสำคัญดังต่อไปนี้

  • Don’t be Stupid : ความโง่เขลาสามารถนิยามได้เป็นการกระทำที่ไม่ส่งผลดีต่อทั้งตัวเองและต่อผู้อื่น ดังนั้น จงทำความเข้าใจว่าคนโง่เขลานั้นมีอยู่จริงและจงเตือนตัวเองให้ไม่กระทำการแบบนั้นและให้เลือกทำในสิ่งที่มีประโยชน์ต่อทั้งตัวเองและสังคมเป็นหลักอย่างชาญฉลาด
  • Seek Out Guardrails and Advice : การสร้างกลุ่มผู้ที่คอยให้คำปรึกษาที่กล้า feedback อย่างตรงไปตรงมาเพื่อรับฟังและเลือกสรรคำแนะนำมาปรับปรุงพัฒนาตัวเอง นอกจากนั้น การหาหลักยึดที่มากกว่าแค่เป้าหมายของตัวเอง อาทิ การมีเป้าหมายเพื่อครอบครัวและสังคม ก็จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันคอยป้องกันไม่ให้ตัวเองออกนอกลู่นอกทางได้
  • Tip Well : การฝึกฝนความใจดีใจกว้างด้วยการประพฤติตัวอย่างดีต่อผู้อื่น โดยเฉพาะต่อพนักงานบริการ การมีเมตตาอย่างการให้ทิปที่ดีนั้นช่วยลดความเครียดและเพิ่มความสุขให้กับทั้งผู้ให้และผู้รับได้
  • Make Rich Friends : การหาเพื่อนรวยที่มีแนวคิดด้านความมั่งคั่งในแบบที่เราอยากเรียนรู้ เพราะมนุษย์คือสัตว์สังคมที่ชอบการเลียนแบบคนรอบข้าง โดยแนวคิดนี้ไม่ได้บอกว่าเราต้องเลิกคบกับเพื่อนทุกคนที่มีอยู่หากไม่รวยพอ แต่เราต้องตระหนักว่าคนรอบข้างมีส่วนสำคัญอย่างมากต่ออนาคตของเราและหากเพื่อนที่เราคบมานั้นไม่ได้มีแนวคิดที่เติบโตแบบที่เราต้องการ การแบ่งเวลามารู้จักกับคนกลุ่มใหม่ๆที่สามารถเป็น role model ที่ช่วยเพิ่มโอกาสและขยายมุมมองของเราได้ก็เป็นเรื่องที่ดี
  • Talk about Money : การคุยเรื่องเงินให้เป็นเรื่องปกติ เพราะเราอยู่ในโลกแห่งทุนนิยมที่ขับเคลื่อนด้วยเงิน แนวคิดที่ว่าการคุยเรื่องเงินเป็นเรื่องไม่สุภาพนั้นเหลวไหลสิ้นดี
  • Invest in Your Partnership : การเลือกคู่ครองที่ดีและการแต่งงานถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสู่ความสำเร็จเพราะการแต่งงานมักสร้างความรับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้นต่อฐานะทางการเงินและคู่ครองที่ประสบความสำเร็จมักพูดคุยกันเรื่องเป้าหมายทางการเงินและความคาดหวังของแต่ละคนอยู่เสมอราวกับว่าเราเป็น CEO ของการสร้างความมั่งคั่งของตัวเองที่มีบอร์ดบริหารคอยตรวจสอบ แต่ก็แน่นอนว่าการหย่าร้างนั้นก็เป็นความเสี่ยงที่สามารถทำลายสถานะทางการเงินได้และปัญหาด้านการเงินก็เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักของการหย่าร้าง ดังนั้นคู่ครองก็ควรมีการพูดคุยกันอยู่อย่างสม่ำเสมอและอย่าปล่อยให้มีเรื่องเซอร์ไพรส์

 


 

2 | FOCUS

 

Balance

“โฟกัส” คือ การใช้ชีวิตด้วยความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อลงแรงและลงเวลาในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่ต้องอาศัยความหมั่นเพียรในการทำงานและการเลือกใช้ชีวิตเป็นระยะเวลายาวนานกว่าที่จะประสบผลสำเร็จ

โดยการมีโฟกัสที่ดีนั้นจำเป็นต้องรักษา “สมดุล” ในการใช้ชีวิตและการทำงานที่ต้องเริ่มต้นจากการ “ยอมรับว่าการทำงานหนักอย่างชาญฉลาดนั้นเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ“ สู่การประสบความสำเร็จทางการเงินและพยายามรักษาสมดุลของการใช้ชีวิตผ่านการเลือกวิถีในการทำงานที่เหมาะสมที่สุด อาทิ การทำงานในบริษัทที่หากพัฒนาความสามารถในการบริหารคนได้ดีก็จะมีความยืดหยุ่นในการทำงานที่มากขึ้นจากการทำงานผ่านทีมงานที่เก่งๆแทน หรือ การเลือกคู่ครองที่ดีที่สามารถตกลงความรับผิดชอบทางบ้านได้อย่างเหมาะสมกับการทำงาน โดยการไม่ยอมรับในความจำเป็นที่จะต้องทำงานหนักนั้นก็มีแต่จะสร้างความไม่พอใจในชีวิตที่นำมาสู่ปัญหาทั้งด้านความสุขและประสิทธิภาพของการทำงานในท้ายที่สุด

 

Don’t Follow Your Passion

ความเชื่อในการเลือกทำในสิ่งที่รักนั้นถูกต้องสำหรับกลุ่มคนเพียงแค่หยิบมือที่มีความสามารถที่โดดเด่นอย่างแท้จริง (talent) เท่านั้น เพราะคนส่วนใหญ่นั้นยังไม่รู้จริงๆว่าตัวเองมี passion อะไรและ passion ของผู้คนที่พอรู้แล้วก็มักเกิดจากการสั่งสมบ่มเพาะจากค่านิยมของสังคมรอบข้าง อาทิ Youtuber, นักแสดง, นักร้อง, นักกีฬาและดีไซเนอร์แบรนด์หรู ซึ่งแล้วแต่จะมี supply มากกว่า demand มากจนทำให้อัตราความสำเร็จของงานเหล่านี้นั้นต่ำมากๆและทำให้คนส่วนใหญ่ที่เลือกสายงานนี้มักมีรายได้ไม่เพียงพอและถูกเอาเปรียบเสมอ (อาทิ Chanel ที่รับเด็กฝึกงานแบบไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่ค่าแรงขั้นต่ำ) นอกจากนั้น การเปลี่ยนเอา passion ที่มีมาใช้หาเงินยังมีโอกาสให้เราเกลียด passion นั้นๆในเวลาต่อมา

ดังนั้น จงเลือกทำงานตามความสามารถที่เราทำได้อย่างโดดเด่นจริงๆ (talent) ส่วน passion นั้นก็เก็บไว้ตามหาในวันหยุดแทน

 

Follow Your Talent

Scott Galloway นิยาม “Talent” ว่า “ความสามารถที่ตัวเองทำได้อย่างยอดเยี่ยมแต่คนอื่นนั้นทำได้อย่างยากลำบากหรือทำไม่ได้เลย” ซึ่งมนุษย์แต่ละคนนั้นก็ล้วนมี talent ที่แตกต่างกัน โดยการมองหา talent ของตัวเองนั้นก็ควรเริ่มต้นตั้งแต่วัยเรียนและวัยทำงานใหม่ๆด้วยการทดลองทำอะไรหลายๆอย่างเพื่อวิเคราะห์ตัวเองดูว่าอะไรที่ทำได้ดีและอะไรที่ทำไม่ได้ดีเท่าผู้อื่น โดยผู้ที่หมั่นทำความเข้าใจถึงปัจจัยของความสำเร็จและความล้มเหลวของตัวเองก็มักมองหาจุดอ่อนและจุดแข็งที่สามารถต่อยอดเป็น talent ของตัวเองได้ดีกว่า นอกจากนั้น การทำ personality test อย่าง Myers-Briggs หรือ Gallup’s CliftonStrengths ก็สามารถช่วยให้เราเข้าใจตัวเองมากยิ่งขึ้น

เมื่อเราหา talent ของเราเจอและลงมือทำงานที่มี “match quality” หรือ “ความเหมาะสมระหว่างงานและ talent” สูงแล้ว เมื่อนั้นความก้าวหน้าของการทำงานและรายได้ก็จะเพิ่มพูนขึ้น โดยเมื่อเราพัฒนา talent อย่างมุ่งมั่นไปถึงจุดของการเป็น ”ผู้เชี่ยวชาญ (mastery)“ ที่โดดเด่นกว่าแทบทุกคนในสายงานนั้นๆแล้ว เมื่อนั้นเราก็จะหลงใหลและเปลี่ยนให้ talent กลายมาเป็น passion ได้ในที่สุดเช่นกัน

 

Career Options

เมื่อเราเข้าใจใน talent และความต้องการด้านการเงินของตัวเองแล้ว เมื่อนั้นก็ถึงเวลาเลือกสายอาชีพที่เหมาะสมที่ทั้งตอบโจทย์และพร้อมที่จะเติบโตไปกับเราทั้งในด้านศักยภาพ ชีวิตและรายได้ โดย Scott Galloway แนะนำให้ทุกคนทำการศึกษาถึงชีวิตประจำวันและกลไกในการสร้างรายได้ของแต่ละสายอาชีพอย่างเข้าใจชัดเจนถึงสิ่งที่ต้องยอมแลกกับโอกาสในการเติบโตและโอกาสในการสร้างรายได้ตามที่ตัวเองต้องการ พร้อมกับคำแนะนำสำคัญอื่นๆ ดังต่อไปนี้

  • Iterate : การทดลองทำอะไรใหม่ๆโดยกล้าที่จะล้มเหลวเพื่อเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง
  • Look at the Beach with the Biggest Waves : การเลือกทำงานในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต โดยคนกลางๆที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ดีนั้นมักมีรายได้ที่สูงกว่าคนเก่งๆในอุตสาหกรรมขาลง
  • Nurture Your Skill at Communication : การฝึกฝนทักษะด้านการสื่อสารทั้งการพูดและการเขียนที่จำเป็นอย่างมากในทุกสายงานและจะสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อความรับผิดชอบเติบโตขึ้น
  • Make Career Choices based on Culture as well as Skill : การเลือกทำงานที่มีวัฒนธรรมการทำงานที่ตรงกับที่ต้องการเพื่อช่วยเติมไฟและไม่บั่นทอนแรงใจให้ลุยทำงานหนักได้
  • Look Beyond the Obvious Careers : การมองหาสายอาชีพอย่างรอบด้านไม่ใช่แค่อาชีพหลักๆที่คนส่วนใหญ่เลือกทำกันเพราะโลกยังมีอาชีพเฉพาะทางรายได้ดีที่อาจฟังดูไม่สวยหรูอีกมากมาย

 

Best Practices

Scott Galloway ยังแนะนำแนวทางการเลือกใช้ชีวิตและการทำงานที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลดี ดังต่อไปนี้

  • Get to a City, Go to the Office : การเลือกที่จะทำงานในเมืองใหญ่แบบ face-to-face ที่ออฟฟิศโดยหลีกเลี่ยงการ work from home ที่มากเกินไปโดยเฉพาะในช่วงอายุ 20-40 ปี เพื่อสร้างความสัมพันธ์และเรียนรู้จากคนเก่งๆรอบข้างไปพร้อมๆกับการฝึกจัดการการเงินในเมืองใหญ่ที่ค่าครองชีพสูงกว่า
  • Know When to Quit : การมุ่งมั่นทำงานอย่างหนักและไม่ย่อท้อแม้ล้มก็ลุกขึ้นมาใหม่นั้นคือหนทางสู่ความสำเร็จ แต่หากปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้นั้นเป็นปรปักษ์หรือเปลี่ยนแปลงไปทำให้ความคุ้มค่าของการลงทุนลงแรงนั้นไม่เท่าเดิม การรู้จักที่จะล้มเลิก (หรือ pivot ในวงการเทคโนโลยี) เพื่อเปลี่ยนไปต่อสู้กับโอกาสที่ดีกว่าก็เป็นเรื่องสำคัญ เราไม่ควรยอมแพ้เพียงเพราะว่าสิ่งที่ทำมันยาก แต่หากผลตอบแทนที่ได้มันน้อยกว่าการเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นมาก การเปลี่ยนแปลงก็คือการตัดสินใจลงทุนอย่างชาญฉลาด
  • Be Loyal to People, Not Companies : การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนมนุษย์คนทำงานด้วยกันไม่ว่าจะอยู่ในระดับไหนเพราะคนนี่แหละที่จะแคร์เราจริงๆ ในขณะที่องค์กรมักตัดสินใจจากเงินโดยไม่สนใจคนที่เป็นพนักงาน ดังนั้น อีกหนึ่งแนวทางสำคัญก็คือการประเมินมูลค่าตลาดของตัวเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อใช้ในการต่อรองเงินเดือนให้สูงขึ้นและเพื่อการตัดสินใจเปลี่ยนงานใหม่โดยการเปลี่ยนงานแต่ละครั้งควรมีวัตถุประสงค์และประโยชน์ที่ชัดเจน (เพราะการเปลี่ยนงานบ่อยๆก็ไม่ดีต่อทั้งประสบการณ์ของตัวเองที่อาจยังไม่รู้ลึกพอและอาจถูกมองว่าเป็นตัวปัญหาซึ่งทำให้หางานใหม่ยาก)
  • Be a Seriel Monigamist : การโฟกัสไปที่งานหลักที่เลือกมาแล้วอย่างดีเพียงงานเดียวเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดโดยไม่เสียทั้งเวลาและพลังสมองไปทำอาชีพเสริม (ยกเว้นคนที่อยากเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ควรมีงานประจำเป็นงานหลักเพื่อสร้างรายได้และแบ่งเวลามาทำธุรกิจจนกระทั่งมั่งคงอยู่ได้จึงค่อยลาออก)
  • Prune and Invest in Your Hobby : การวางแผนใช้เวลาว่างที่มีอยู่อย่างจำกัดให้คุ้มค่าที่สุดเพื่อรักษาระดับความสุขให้ดีในตลอดช่วงเวลาการทำงาน โดย Scott Galloway แนะนำให้ลิสต์รายชื่อสิ่งที่อยากทำตอนเกษียณและคัดเลือกลงมือทำในสิ่งที่ทำได้เลยโดยต้นทุนไม่สูงมาก สิ่งที่ทำแล้วช่วยเพิ่มระดับความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างและสิ่งที่ต้องเริ่มลงมือฝึกฝนตอนนี้ก่อนที่จะสายเกินไป เช่น การฝึกโต้คลื่นหากคุณอยากเกษียณที่ฮาวาย

 


 

3 | TIME

 

The Power of Time : Compounding

“เวลา” คือ ทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดและเท่าเทียมกันที่สุดของมนุษย์ทุกคนบนโลก การบริหารจัดการเวลาอย่างมีแบบแผนจึงถือเป็นการลงทุนที่สำคัญเพื่อสร้างความมั่งคงทางการเงินและความสุขในอนาคต โดยมนุษย์ทุกคนจำเป็นที่จะต้องเลือกระหว่างการยอมลดความสบายเพื่อตั้งมั่นทำงานหนักอย่างชาญฉลาดในปัจจุบันกับการเลือกสบายในตอนนี้แต่อาจจะต้องลำบากหรือไม่เป็นอย่างที่ฝันในวัยเกษียณ

โดยเวลานั้นก็มีพลังที่เป็นดั่งตัวช่วยให้กับผู้ที่มีการวางแผนทางการเงินที่ดีอย่าง “อัตราดอกเบี้ยทบต้น (compound interest)” ที่ผลตอบแทนจากการลงทุนในปีหนึ่งถูกทบกลายมาเป็นทุนที่ช่วยสร้างผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นในปีถัดๆไป โดยหากคนวัย 25 ปีลงทุนปีละ 120,000 บาทด้วยอัตราผลตอบแทนที่ 8% ทุกปี เขาจะมีเงิน 25,000,000 บาทในวัย 65 ปี (จากทุน 120,000 x 40 = 4,800,000 บาท) ขณะที่หากอีกคนเริ่มลงทุนจำนวนเท่ากันในวัย 45 ปีจะมีเงินเพียง 5,000,000 บาท (จากทุน 120,000 x 20 = 2,400,000 บาท) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเก็บออมเพื่อลงทุนตั้งแต่เนิ่นๆนั้นช่วยเพิ่มความมั่งคั่งในวัยเกษียณได้อย่างมหาศาลเป็นหลายเท่าตัว

แต่ขณะเดียวกัน ดอกเบี้ยทบต้นก็มีศัตรูตัวฉกาจอย่าง “อัตราเงินเฟ้อ” ที่คอยบั่นทอนให้มูลค่าของเงินในปัจจุบันนั้นลดลงในอนาคต โดยหากเงินเฟ้อคงที่อัตรา 3% ต่อปี เงิน 1,000,000 บาทในปัจจุบันจะมีมูลค่าจริงเพียง 412,000 บาทเท่านั้น ดังนั้น หากคุณอยากเกษียณใน 30 ปีข้างหน้าและต้องการใช้เงินซื้อของในมูลค่าปัจจุบันที่ 1,000,000 บาทต่อปี คุณจะต้องเตรียมแผนทางการเงินให้มีเงินใช้อย่างน้อย 2,000,000 ถึง 2,500,000 บาทต่อปีในอนาคตและต้องเลือกที่จะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีอัตราผลตอบแทนที่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้มากพอ

 

Now

เมื่อเวลาคือทรัพยากรที่สำคัญที่สุด เวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเริ่มต้นสร้างความมั่งคั่งทางการเงินก็หนีไม่พ้น “ตอนนี้” ที่ต้องเริ่มทำทันที โดยยิ่งคุณอายุน้อยเท่าไหร่ คุณก็มีเวลามากยิ่งขึ้นในการฝึกฝนการวางแผนทางการเงินที่ดี โดยเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจต้นทุนของเวลาว่าหากคุณมีเวลามากขึ้น 1 ชั่วโมงที่คุณสามารถใช้ในการทำงานหรือทำในสิ่งที่มีความหมายในชีวิตจริงๆ คุณจะตีมูลค่าของเวลานั้นเป็นเท่าไหร่และเริ่มต้นบริหารจัดการเวลาที่เสียไปอย่างเปล่าประโยชน์ อาทิ การใช้ app สั่งซื้อสินค้าแทนการเสียเวลาเดินทางไปซื้อด้วยตัวเอง หรือ การลดการใช้งาน social media เพื่อเอาเวลาไปสร้างความสัมพันธ์ที่ช่วยเพิ่มความสุขได้มากกว่า เมื่อคุณมีเวลาอันมีประสิทธภาพแล้ว เมื่อนั้นก็ควรเริ่มบริหารจัดการด้านการเงินตั้งแต่ตอนนี้โดย Scott Galloway ก็แนะนำแนวคิด ดังต่อไปนี้

  • Track Your Actual Spending : การเริ่มต้นจดบันทึกรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละวันเพื่อเริ่มต้นบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและการเก็บออม เพราะคุณจะไม่มีทางรู้เลยว่าเงินที่ออกไปจากกระเป๋านั้นเสียไปให้กับอะไรบ้างหากไม่มีการเก็บข้อมูล
  • Save Some Money Every Month : การฝึกเก็บออมในทุกๆเดือนแม้ว่าจะน้อยเพียงใด เพื่อฝึกฝนกล้ามเนื้อของการเก็บออมให้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
  • Determine Your “Head Above Water” Budget : การกำหนดงบค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่จะทำให้คุณมีชีวิตที่ดีในปัจจุบันเพื่อเปรียบเทียบกับรายรับว่าตอนนี้ยังขาดเหลืออยู่เท่าไหร่ โดยหากขาดอยู่ก็จะสามารถปรับแผนงบด้วยการลดค่าใช้จ่ายบางอย่างลงและหากเกินก็สามารถแบ่งเงินมาเก็บออมลงทุนต่อได้ โดยอย่าลืมว่าการใช้จ่ายเพื่อใช้ชีวิตก็เป็นเรื่องที่สำคัญ
  • Keep Your Intermediate Bucket Funded with Low-Variability High-Liquidity Investments : การวางแผนค่าใช้จ่ายตามระยะเวลาสั้นยาวเพื่อปรับแผนการลงทุนให้เหมาะสม โดยหากคุณมีค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในระยะสั้นก็ควรที่จะเอาเงินก้อนนั้นไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ความผันผวนต่ำและมีสภาพคล่องสูงเป็นหลัก ส่วนค่าใช้จ่ายก้อนโตในระยะยาวนั้นก็สามารถเอาไปลงทุนแบบเน้นผลตอบแทนก่อนได้แล้วจึงค่อยโยกมาอีกทีเมื่อเวลาใกล้มาถึง
  • Set Achievable Short-Term Savings Goals : การตั้งเป้าหมายในการเก็บออมในระยะสั้นๆที่เป็นไปได้จริงและกระตุ้นให้ทำทันทีเพื่อเพิ่มปริมาณการเก็บออมสำหรับเป้่หมายในระยะยาว

 

The Future

ถึงแม้ว่าการวางแผนทางการเงินนั้นมักเริ่มต้นจากการตั้งเป้าหมายในอนาคต แต่ก็จงอย่าลืมว่าเป้าหมายของทุกคนมักเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเสมอและไม่ควรที่จะผูกมัดตัวเองเข้ากับเป้าหมายที่เราเริ่มไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว นอกจากนั้น ความไม่แน่นอนนั้นคือสิ่งที่แน่นอนในอนาคต ดังนั้น การมี character ที่พร้อมปรับตัวล้มแล้วลุกจึงสำคัญอย่างมากต่ออนาคตของเราทุกคน

การวางแผนทางการเงินที่ดีนั้นต้องรักษาสมดุลระหว่างความสุขของชีวิตในปัจจุบันและความสุขในอนาคต หากคุณต้องทนทุกข์ทรมานนาน 40 ปีเพื่อเกษียณให้ได้ตามเป้าหมาย คุณคิดว่าคุณจะชอบตัวตนของคุณในตอนนั้นจริงๆหรือเปล่า

 


 

4 | DIVERSIFICATION

 

Basic Principles of Investing

น้อยคนในโลกนี้ที่สามารถสร้างความมั่งคั่งได้จากการทำงานเพียงอย่างเดียว หากคุณไม่ใช่ CEO ของบริษัทใหญ่ๆและดารานักแสดงชื่อดังเบอร์ต้นๆของประเทศหรือไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง หนทางแห่งการสร้างความมั่งคงทางการเงินก็คือการเปลี่ยนเงินเก็บเป็น “ทุน (capital)” และเริ่มทำการลงทุนเพื่อให้เงินทำงานแทนเรา

หลักการในการเริ่มต้นลงทุนแบบ 101 เลยก็คือการทำความเข้าใจสมดุลระหว่าง “ความเสี่ยง (risk)” และ ”ผลตอบแทน (return)” ที่ผลตอบแทนจำเป็นต้องสูงขึ้นหากการลงทุนมีความเสี่ยงที่มากขึ้น โดยการเลือกลงทุนตามความเสี่ยงและผลตอบแทนนั้นก็สามารถแบ่งแนวทางการลงทุนออกเป็น 2 มิติ ได้แก่

  • การลงทุนแบบ Active ที่ต้องลงแรงและเวลาเพื่อสร้างให้เกิดผลตอบแทนกับการลงทุนแบบ Passive ที่ให้ทุนหาเงินให้โดยไม่ต้องลงแรงและเวลา
  • การลงทุนแบบ ”กระจุกความเสี่ยง (Concentration)“ ที่เป็นการเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงแบบเดียวกันและการลงทุนแบบ ”กระจายความเสี่ยง (Diversification)“ ที่เป็นการเลือกลงทุนแบบพอร์ตโฟลิโอของทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงแตกต่างกัน

โดย Scott Galloway ได้แนะนำให้คนทั่วไปที่ไม่ได้มีความชำนาญการทางการลงทุนเลือกลงทุนแบบ Passive ในพอร์ตโฟลิโอแบบ Diversification ที่ให้ผลตอบแทนที่สูงและแปรปรวนน้อยในระยะยาว แทนการเลือกลงทุนแบบ Active ที่คนส่วนใหญ่มักไม่สามารถเอาชนะตลาดได้จริงและแบบ Concentration ที่มีโอกาสเสี่ยงที่พอร์ตโฟลิโอทั้งหมดจะพังครืนลงมา (Scott Galloway ยกตัวอย่างว่าหากคุณลงทุนเงินทั้งหมดในหุ้น Apple และอยู่ๆประเทศจีนประกาศบุกยึดไต้หวันในวันที่ Tim Cook เลือกเกษียณอายุพอดี พอร์ตโฟลิโอของคุณก็อาจพังทลายไปเลย)

 

The Capitalist’s Handbook

นักลงทุนมือใหม่ควรทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานของระบบทุนนิยมที่ Scott Galloway ให้นิยามว่าเป็นระบบที่เปิดให้มนุษย์สามารถแลกเปลี่ยน “เวลา” เป็น “เงิน” ได้ผ่านการทำงานและนำเอาเงินนั้นมาแลกเปลี่ยนเป็น “สินค้า” ที่ต่างก็เกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนเวลาและเงินของมนุษย์คนอื่นๆ โดยกลไกตลาดที่กำหนดราคาของสินค้าแต่ละชนิดนั้นก็ขึ้นอยู่กับ ”อุปสงค์ (demand)” และ “อุปทาน (supply)” ที่หากความต้องการสินค้านั้นมีมากกว่าปริมาณที่มีอยู่ก็มักจะทำให้ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้นและตลาดก็จะค่อยๆเคลื่อนตัวไปยังจุดสมดุลที่ demand และ supply มีใกล้เคียงกันเพราะเมื่อสินค้าราคาแพงมีความต้องการมากก็จะก่อให้เกิดผู้เล่นในตลาดมากขึ้นจนทำให้มีปริมาณสินค้าที่เพียงพอหรือเมื่อสินค้ามีความต้องการลดลงก็มักมีราคาถูกลงและทำให้ผู้เล่นบางส่วนเลิกผลิตสินค้าไปจนมีปริมาณสมดุลกับความต้องการในที่สุด (โดยหากตลาดมีความเฉื่อยในการเข้าสู่สมดุลก็มักเกิดโอกาสในการ arbitrage ที่เป็นการซื้อสินค้าในตลาดหนึ่งที่มีราคาถูกไปขายในอีกตลาดที่ยอมซื้อในราคาที่แพงกว่า ซึ่งการ arbitrage นี้จะเป็นตัวเร่งให้ตลาดเข้าสู่สมดุลเร็วขึ้น)

กลไกตลาดของระบบทุนนิยมนั้นก็ถูกขับเคลื่อนโดยตลาดการเงินที่เปิดโอกาสให้ผู้คนแลกเปลี่ยนเงินมาเป็นทุนเพื่อปล่อยกู้หรือลงทุนให้กับผู้อื่นที่พร้อมนำทุนเหล่านั้นไปสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้กับเจ้าของทุนได้ ซึ่งการลงทุนในลักษณะนี้ก็จะทำให้ตลาดทุนมีขนาดใหญ่ขึ้นเพราะเงินถูกนำมาใช้เป็นทุนที่สร้างผลตอบแทนที่มากขึ้นและทำให้ระบบทุนนิยมสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาวอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้นักลงทุนก็ต้องทำความเข้าใจความสำคัญของผู้เล่นหลักในตลาดทุน 3 ประเภท ได้แก่

  • Corporation : บริษัทที่เกิดจากการรวมตัวกันทางกฎหมายของทุนและแรงงานเพื่อดำเนินกิจการที่มนุษย์เพียงคนเดียวไม่สามารถทำได้และทำการจัดสรรผลตอบแทนอย่างเป็นสัดส่วน โดยบริษัทนั้นก็คือลูกค้าหลักของตลาดทุนที่จำเป็นต้องใช้ทุนในการเติบโตอยู่เสมอ
  • Bank : ธนาคารและสถาบันการเงินที่ทำหน้าที่เป็นพ่อค้าคนกลางแห่งตลาดทุนที่มีหน้าที่ทั้งการรับฝากเงินออมทรัพย์และนำเงินเหล่านั้นไปปล่อยกู้โดยกินกำไรส่วนต่าง การบริการด้านการลงทุนสำหรับบุคคลรายย่อย การบริการจัดหาทุนให้กับบริษัทขนาดใหญ่ ไปจนถึง การบริหารจัดการการลงทุนด้วยตัวเองผ่านกองทุนต่างๆที่ก็เปิดให้ผู้คนเข้าร่วมลงทุนด้วยได้
  • Government : ภาครัฐที่มีหน้าที่ในการออกกฎหมายกำกับดูแลและสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและยังเป็นหนึ่งในผู้เล่นในตลาดทุนเองโดยมีธนาคารกลางทำหน้าที่ทั้งปล่อยกู้และกู้เงินผ่านพันธบัตรของรัฐบาลที่ธนาคารกลางซึ่งถือเป็นผู้กู้ที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดในตลาดก็สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้กับตลาดได้โดยรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมอัตราเงินเฟ้อและการจ้างงานที่มักส่งผลโดยตรงต่ออัตราการเติบโตของประเทศ (เมื่อเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นเกินเกณฑ์ อาทิ มากกว่า 2% ในสหรัฐอเมริกา ความเสี่ยงที่ข้าวของแพงจนเกินควบคุมนั้นก็เพิ่มสูงขึ้นซึ่งธนาคารกลางก็มักเลือกขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนใช้จ่ายน้อยลงและฝากออมมากขึ้นเพื่อชะลอความร้อนแรงของ demand ลงจนทำให้เงินเฟ้อต่ำลง โดยธนาคารกลางก็ต้องประเมินสมดุลไม่ให้อัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้นทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจมีปัญหา)

อีกหนึ่งองค์ความรู้สำคัญของการลงทุนก็คือการทำความเข้าใจความแตกต่างของ “ราคา (price)” และ “มูลค่า (value)” ที่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้นต้องมีความสามารถในการเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงกว่าราคา โดยหลักการประเมินมูลค่า (valuation) นั้นก็มีสูตรพื้นฐานง่ายๆคือ Value = (Future Income + Terminal Value) x Discount Rate ที่แสดงให้เห็นว่ามูลค่าของสินทรัพย์นั้นคือผลรวมของมูลค่าของรายได้ในอนาคตที่เกิดจากสินทรัพย์นั้นๆ อาทิ อัตราดอกเบี้ยและเงินปันผล รวมกับมูลค่าของสินทรัพย์นั้นๆตอนขายออกไปและหักด้วยอัตราส่วนลดที่ผสมผสานทั้งอัตราความเสี่ยงที่ยิ่งเสี่ยงมากยิ่งต้องลดเยอะและอัตราค่าเสียโอกาสที่ต้องเปรียบเทียบว่าเงินที่มีอยู่นั้นหากนำไปลงทุนอย่างอื่นจะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ (ถ้าอยากทำความเข้าใจด้านนี้ลึกๆต้องหาหนังสือ Finance มาอ่านดูต่อครับ)

 

Advice from a Lifetime of Investing

คำแนะนำของ Scott Galloway จากประสบการณ์การลงทุนมาตลอดชีวิตมีดังนี้

  • Zig When Others Zag : การเลือกตัดสินใจลงทุนตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ เพราะเมื่อผู้คนส่วนใหญ่เริ่มลงทุนกับอะไรบางอย่างมากๆ เมื่อนั้นราคาของสิ่งนั้นก็จะพุ่งสูงขึ้นและทำให้ผลตอบแทนลดต่ำลง อาทิ ปัจจุบันที่คนจำนวนมากเรียนต่อปริญญาโทจนค่าเทอมพุ่งสูงมากและมีนักศึกษาจบปริญญาโทเกลื่อนตลาดจนเงินเดือนที่ได้เพิ่มเริ่มไม่คุ้มกับค่าเรียนที่สูงขึ้นทุกปี
  • Be Aware of Taxes : การทำความเข้าใจเรื่องการวางแผนภาษีและหาทางลดหรือเลื่อนอัตราภาษีที่ต้องจ่ายเพื่อนำเงินส่วนเพิ่มไปลงทุน อาทิ การลงทุนในกองทุกลดหย่อนภาษีที่ช่วยประหยัดการจ่ายภาษีในช่วงวัยทำงานที่มีฐานภาษีสูงได้
  • Don’t Trust Your Emotions : การระลึกถึงอารมณ์ของตัวเองที่มีต่อผลลัพธ์ของการลงทุนอยู่ตลอดเวลาและสร้างภูมิต้านทานต่อการขาดทุนและการเปลี่ยนแปลงราคาในระยะสั้น เคียงคู่กับการหมั่นวิเคราะห์ถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อผลตอบแทนในการลงทุนอย่างเป็นเหตุเป็นผลอยู่เสมอ
  • Don’t Day Trade : การหลีกเลี่ยงการซื้อขายหุ้นแบบรายวันที่เป็นเหมือนการพนันที่ผู้ชนะมีแต่โบรกเกอร์ที่ได้ค่าคอมมิชชั่นจากการเทรดเป็นหลัก
  • Move : การเคลื่อนย้ายถิ่นฐานและทางเลือกในการลงทุนไปสู่ที่ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าโดยไม่ยึดติดกับบ้านเกิดอันคุ้นเคยมากจนเกินไป เพราะการันตีได้เลยว่ามีโอกาสน้อยมากที่บ้านเกิดของคุณจะเป็นที่ที่มีผลตอบแทนมากที่สุดในโลก

ปิดท้าย Scott Galloway ก็สรุปสั้นๆว่ามนุษย์ทุกคนควรออกตามหางานที่ตัวเองทำได้ดีมากพอที่จะมีคนจ่ายเงินจ้างสูงๆได้และลงทุนทำงานอย่างหนักโดยแบ่งเงินเก็บมาลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนทบต้นต่อไปเรื่อยๆในทุกๆปีด้วยการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงเพื่อสร้างอิสรภาพทางการเงินให้คุณสามารถใช้ชีวิตกับคนที่คุณรักอย่างไร้ข้อกังวลได้ในอนาคต

 




<<< ติดตาม [สรุปหนังสือ] เล่มอื่นๆต่อได้ทางนี้เลยครับ [CLICK] >>>

 

<<< ที่สำคัญ อย่าลืมกดไลค์ Panasm’s Facebook Page เพื่อติดตามอัพเดทใหม่ๆของผมนะครับ [CLICK] >>>

 

<<< ปิดท้าย สิ่งที่ผมทำสรุปมานั้นเป็นเพียงแค่เนื้อหาส่วนที่ผมสนใจที่สุดของหนังสือเล่มนี้ สำหรับเพื่อนๆที่ถูกใจสรุปของหนังสือเล่มนี้ อย่าลืมซื้อหนังสือเล่มเต็มและอุดหนุนผู้เขียนกันด้วยนะครับ ขอบคุณที่ติดตามครับผม >>>

 

punksood

Recent Posts