News Ticker

[สรุปหนังสือ] The Power of Ignorance : How Creative Solutions Emerge When We Admit What We Don’t Know

 

 

[สรุปหนังสือ] The Power of Ignorance : How Creative Solutions Emerge When We Admit What We Don’t Know (2021)

by Dave Trott

 

“Ignorance coupled with curiosity is where all new knowledge starts.”

 

การปลูกฝังค่านิยมของมนุษย์ส่วนใหญ่ในโลกยุคปัจจุบันมักให้คุณค่าแก่ “ความรู้” และด้อยค่า “ความไม่รู้” ที่เปรียบดั่งความโง่เขลา จนทำให้มนุษย์หลายคนเลือกทำตัวเป็น “น้ำเต็มแก้ว” ที่เชื่อมั่นว่าองค์ความรู้ที่ตัวเองมีอยู่นั้นเพียงพอแล้วและการยอมรับว่าตัวเองไม่รู้นั้นเปรียบดั่งเป็นการเปิดเผยความอ่อนแกของตัวเองโดยไม่จำเป็น อันเป็นเหตุให้มนุษย์มักเริ่มแก้ปัญหาด้วยการ “เปิดปาก” ก่อนการ “เปิดใจ” อยู่เสมอและทำให้มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่คิดริเริ่มที่จะตั้งคำถามต่อความไม่รู้ที่มักจะนำไปสู่การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆและการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆไปอย่างน่าเสียดาย

เล่าจื๊อเคยกล่าวไว้ว่า “คนฉลาดมักรู้ว่าตัวเองไม่รู้ ส่วนคนโง่มักไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้” ซึ่งนั่นก็เป็นคำสอนชั้นเลิศที่ยังคงเป็นความจริงในยุคปัจจุบัน การยอมรับว่าเราไม่รู้นั้นเป็นเสมือนก้าวแรกที่จะนำพาไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆที่ทำให้พวกเราเดินไปข้างหน้าได้เหมือนกับนวัตกรรมที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมาซึ่งล้วนเริ่มต้นจากการตั้งคำถามถึงความไม่รู้ของนวัตกรเหล่านั้นก่อนเสมอ

The Power of Ignorance คือ หนังสือเล่มล่าสุดของ Dave Trott นักเขียนและ creative director ผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์ด้านความคิดสร้างสรรค์ที่รวบรวมเรื่องราวที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและความน่าตื่นตะลึงของนวัตกรรมสุดสร้างสรรค์ที่ล้วนเกิดขึ้นจากการยอมรับถึงความไม่รู้ของเหล่านวัตกรชั้นครูที่เกิดขึ้นจริงในอดีตเพื่อให้ผู้อ่านทุกท่านได้พัฒนาทักษะในการต่อยอดความไม่รู้ของตัวเองไปสู่การคิดค้นไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ๆที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

โดยสรุปหนังสือ The Power of Ignorance เล่มนี้ ผมได้คัดเลือกเรื่องราวที่น่าสนใจที่สุดในเล่มมาย่อยต่อให้ทุกท่านได้อ่านกันครับ ขอเชิญทุกคนเปิดใจและตื่นตะลึงไปกับเรื่องราวสุดสร้างสรรค์ต่างๆที่คุณอาจยังไม่เคยรู้มาก่อนกันได้เลยครับ

 

ผู้เขียน Dave Trott (source: More About Advertising)

 


 

PART 1 | WHAT YOU DON’T KNOW YOU DON’T KNOW

มนุษย์ส่วนใหญ่มักแก้ปัญหาด้วยการ “ทำตามคนอื่น” ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่วิธีการที่เหมือนเดิมเหล่านั้นก็ไม่มีทางจะทำให้พวกเขาได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไปจากเดิม จุดเริ่มต้นของนวัตกรรมสุดสร้างสรรค์ในหลายๆครั้งนั้นจึงมีจุดกำเนิดขึ้นจากการกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความไม่รู้และการกล้าที่จะคิด “แตกต่าง” จากคนอื่น ยกตัวอย่างเช่นเรื่องราวต่อไปนี้

➜ ในปี 2008 อาชญากรหัวใสนามว่า Anthony Curcio ได้ป่าวประกาศรับสมัครงานใน Craiglist เพื่อว่าจ้างชายแปลกหน้ากว่า 25 คนให้สวมใส่เสื้อสีน้ำเงิน กลางเกงยีนส์และเสื้อกั๊กสีเหลืองเพื่อมารวมตัวกันที่หน้าธนาคาร Bank of America เพื่อเตรียมรับงานบางอย่าง ทันทีที่ชายเหล่านั้นมาถึงกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา รถขนเงินของธนาคารก็ได้ขับมายังพื้นที่บริเวณดังกล่าวและนาย Anthony Curcio ผู้สวมใส่ชุดแต่งกายเหมือนกับคนอื่นๆก็ได้พุ่งไปขโมยถุงเงินกว่า 4 แสนดอลลาร์สหรัฐก่อนหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้พยายามทำตัวให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมเหมือนโจรทั่วๆไป แต่เขากลับเลือกทำให้สภาพแวดล้อมในพื้นที่นั้นกลมกลืนไปกับเขาจนตำรวจไม่สามารถหาตัวตามจับได้ช่วงเริ่มต้นแทน

➜ สวนสัตว์ El Paso Zoo ในรัฐ Texas เกิดแนวคิดในการทำแคมเปญโปรโมตสวนสัตว์ของตัวเองในวันวาเลนไทน์ที่แตกต่างจากคู่แข่งรายอื่น แทนที่พวกเขาจะพุ่งเป้าไปที่บรรดาเหล่าคู่รักที่ต้องการมาเที่ยวสวนสัตว์ในวันแห่งความรัก พวกเขากลับเลือกสร้างแคมเปญที่ตอบโจทย์กลุ่มคนที่กำลังอกหักอยู่ด้วยการเปิดให้ชายหญิงเหล่านั้นสามารถส่งชื่อของอดีตคนรักที่ทำให้พวกเขาเจ็บปวดให้สวนสัตว์นำไปตั้งชื่อให้กับเหล่าแมลงสาบมาดากัสการ์ตัวอ้วนโตก่อนที่ผู้ดูแลสัตว์จะนำเอาแมลงสาบเหล่านั้นไปป้อนเป็นอาหารให้กับเหล่าเมียร์แคทได้อิ่มเอมแบบออกอากาศสด ซึ่งแคมเปญนี้ก็ถูกนำไปออกข่าวกระจายไปทั่วโลกโดยที่สวนสัตว์ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มเติมแม้ซักดอลลาร์เดียว

➜ นักออกแบบชื่อเสียงก้องโลกอย่าง Dieter Rams ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้กับ Jony Ive ของ Apple นั้นได้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับวงการออกแบบเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วยแนวคิด “less, but better” ให้กับ Braun ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติเยอรมนีชื่อดังแห่งหนึ่งในยุค 50s โดยในช่วงหนึ่งหลังจากที่เขาทำงานให้กับ Braun มาได้ซักพัก Dieter Rams ก็ได้รับการติดต่อจากบริษัทอีกแห่งให้ช่วยออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่มีแนวคิดลักษณะเดียวกัน แทนที่เจ้าของบริษัท Braun จะสั่งห้ามไม่ให้พนักงานมือหนึ่งของเขาไปทำงานให้กับบริษัทอื่นแบบพาร์ทไทม์ พวกเขากลับยอมให้ Dieter Rams ออกแบบงานเฟอร์นิเจอร์ไปพร้อมๆกัน ซึ่งต่อมา ยอดขายของอุปกรณ์ไฟฟ้าของ Braun ก็เติบโตตามไปด้วยเพราะผู้บริโภคที่ชื่นชอบงานออกแบบของ Dieter Rams มักซื้อทั้งเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าของ Braun ไปพร้อมๆกัน

➜ แมตซ์ฟุตบอลคู่หยุดโลกระหว่าง Liverpool กับ Barcelona ในศึก Champion League ปี 2019 ที่นำมาสู่การพลิกล็อคอย่างอัศจรรย์ที่ Liverpool สามารถพลิกเอาชนะ Barcelona ด้วยสกอร์ถึง 4-0 หลังจากความพ่ายแพ้ 0-3 ในนัดที่ผ่านมานั้นเกิดขึ้นจากการคิดวิเคราะห์ที่แตกต่างได้อย่างดีเยี่ยม โดยทีมงานของ Liverpool นั้นพยายามหาจุดอ่อนของ Barcelona จนไปพบเข้ากับจุดบอดที่นักเตะระดับโลกของ Barcelona มักชอบถกเถียงกันอยู่ตลอดเวลา ทีมงาน Liverpool จึงวางยุทธศาสตร์ให้เด็กเก็บบอลเตรียมบอลสำรองไว้กับตัวเสมอ เมื่อเวลาลูกบอลโดนเตะออกนอกสนามโดย Barcelona เด็กเก็บบอลจะสามารถส่งต่อบอลให้กับนักเตะทีม Liverpool ได้ทันทีเพื่อเร่งทำเกมส์ระหว่างที่นักเตะของ Barcelona กำลังตบตีกันเองซึ่งก็นำพาไปสู่ประตูสุดท้ายที่สร้างชัยชนะอันน่าเหลือเชื่อครั้งนี้

➜ คุณทราบหรือไม่ว่าภาพเขียน Mona Lisa ของศิลปินเอกอย่าง Leonardo Da Vinci นั้นเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาจริงๆจังๆหลังจากที่หัวขโมยนามว่า Vincenzo Peruggia ได้ขโมยภาพเขียนชิ้นนี้ไปจากพิพิธภัณฑ์ Louvre ในปี 1911 ด้วยเหตุผลที่ว่าภาพวาด Mona Lisa มันเล็กจนสามารถแอบเก็บไว้ในเสื้อได้ เมื่อผู้คนรู้ถึงเหตุการณ์การขโมยนี้ พวกเขาจึงเริ่มคิดว่าภาพวาดนี้มันต้องมีอะไรดีแน่นอน จนนำมาสู่ชื่อเสียงอันโด่งดังหลังจากที่ตำรวจได้นำเอา Mona Lisa กลับคืนสู่พิพิธภัณฑ์ Louvre ได้อีกครั้ง ในบางที คุณค่าของสิ่งต่างๆอาจเกิดจากความรู้สึกขาดแคลน (scarcity) ของผู้คนมากกว่าคุณค่าจริงๆของมัน ซึ่งนักจัดละครเวทีนามว่า Mike Todd ก็นำเอาหลักการนี้ไปใช้ในการขายละครเวทีของตัวเองได้อย่างชาญฉลาดด้วยการว่าจ้างพนักงานขายตั๋วผู้มีอาการนิ้วอักเสบที่ทำให้เขาทอนเงินให้กับลูกค้าได้ช้าและทำให้คิวซื้อตั๋วยาวขึ้นเรื่อยๆจนทำให้ผู้คนให้ความสนใจว่าละครเวทีเรื่องนี้มันต้องยอดเยี่ยมแน่นอน

 

Dieter Rams และผลงานออกแบบของเขา (source: Wired)

 


 

PART 2 | WE CAN’T KNOW WHAT HASN’T HAPPENED

มนุษย์ส่วนใหญ่มักมีความกลัวต่อ “ความไม่รู้” และเลือกที่จะจมอยู่กับแนวคิดและค่านิยมแบบเดิมๆของสังคม แต่นวัตกรหลายคนกลับเลือกที่จะยอมรับว่าเราไม่อาจรู้ได้ถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นและกล้าเผชิญกับความไม่รู้เหล่านั้นเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆที่โลกยังไม่เคยได้พบเจอมาก่อน โดยไม่สนใจต่อแรงต้านทานจากกลุ่มคนที่เขาคิดว่าตัวเองรู้แล้ว ยกตัวอย่างเช่นเรื่องราวต่อไปนี้

➜ เมื่อ 100 ปีก่อน ทารกที่คลอดก่อนกำหนดนั้นมีโอกาสเสียชีวิตมากถึง 3 ใน 4 คน แพทย์ในสมัยนั้นต่างยอมรับว่าอัตราการตายที่สูงขนาดนี้นั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ ยกเว้น Etienne Tarnier แพทย์ชาวฝรั่งเศสที่เห็นว่าเกษตกรสามารถฟักไข่ไก่ด้วยการทำให้ไข่เหล่านั้นอบอุ่นอยู่เสมอ จนทำให้เขาคิดค้น “ตู้อบเด็กทารก” เครื่องแรกของโลกที่สามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของเด็กได้ถึงกว่า 85% แต่กว่าที่ตู้อบเด็กทารกของเขาจะแพร่หลายไปทั่วโลก เขาต้องนำเอาตู้อบไปจัดแสดงในงานจัดแสดงสินค้าต่างๆพร้อมกับเด็กที่คลอดก่อนกำหนดจริงๆเพื่อเปิดให้ผู้คนจ่ายเงินเข้ามารับชมความน่ารักของเด็กๆเหล่านั้นไปพร้อมๆกับการรับรู้ถึงประสิทธิภาพของตู้อบนานกว่า 40 ปีถึงจะได้รับการยอมรับ

➜ ในช่วงปี 1800 นายทหาร Charles Barbier แห่งกองทัพของ Napoleon ได้ทดลองคิดค้นวิธีการป้องกันการถูกลอบสังหายของพลทหารในเวลากลางคืนจากการที่พวกเขาต้องจุดไฟเพื่อสื่อสารกันท่ามกลางความมืดมิดจนทำให้พวกเขาตกเป็นเป้ายิงอยู่เสมอ โดย Charles Barbier ได้คิดค้นวิธีการสื่อสารผ่านตัวอักษรสัมผัสที่พลทหารสามารถใช้มือสัมผัสเอาเพื่ออ่านมันได้ในความมืด แต่มันก็ไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่เพราะความซับซ้อนที่ต้องเรียนรู้นานมาก ต่อมา เมื่อเด็กตาบอดวัย 12 ขวบได้ทราบเรื่องนี่เข้า เขาก็เลยนำเอาแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้ให้ง่ายขึ้นภายในเวลา 3 ปี เด็กคนนั้นชื่อ Louis Braille และ “ตัวอักษร Braille” ก็ได้รับการยอมรับไปทั่วโลกในเวลาต่อมา

➜ ณ การแข่งขันรถแข่ง Indy 500 ในปี 1911 มีนักแข่งผู้เป็นนักประดิษฐ์เองด้วยนามว่า Ray Harroun ได้สร้างรถแข่งรูปแบบใหม่ที่มีเพียงที่นั่งเดียว ซึ่งแตกต่างจากรถแข่งทั่วไปที่ต้องมีสองที่นั่งไว้สำหรับให้ช่างซ่อมรถนั่งในรถเพื่อทำหน้าที่คอยดูรถคันอื่นๆให้กับคนขับ รถแข่งแบบที่นั่งเดียวของ Ray Harroun ได้รับแรงต้านเป็นอย่างมากจากคู่แข่งรายอื่นที่มองว่ารถของเขาอันตรายเกินไปเพราะไม่มีใครช่วยดูทางให้ เขาเลยคิดค้น “กระจกมองหลัง” ที่ตั้งอยู่เหนือพวงมาลัยเพื่อใช้ในการมองรถคันอื่นโดยตัวของคนขับเอง ซึ่งสุดท้าย Ray Harroun ก็สามารถคว้าชัยในการแข่งขันครั้งนั้นได้เพราะรถที่น้ำหนักเบาลงของเขาทำให้เขาไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนยางหลายรอบเท่ากับคู่แข่งรายอื่น โดยหารู้ไม่ว่า ตัวของ Ray Harroun เองมองกระจกมองหลังของเขาไม่รู้เรื่องเลยเพราะถนนแข่งนั้นขรุขระมาก อย่างไรก็ดี นวัตกรรมอย่างกระจกมองหลังของเขาก็ได้รับการยอมรับในเวลาต่อมาและกลายมาเป็นอุปกรณ์จำเป็นสำหรับรถทุกคันในปัจจุบัน

 

Ray Harroun และรถแข่ง The Mormon Wasp ที่มีกระจกมองหลังคันแรกของโลก (source: First Super Speed)

 


 

PART 3 | IGNORANCE IS A SECRET WEAPON

มนุษย์จำนวนมากมักเลือกที่จะนำเสนอไอเดียของพวกเขาไปยังกลุ่มคนที่รู้จักและเข้าใจมันเป็นอย่างดี แต่พวกเขาก็มักหลงลืมที่จะพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์และเชื้อเชิญกลุ่มคนที่ “ไม่รู้” เกี่ยวกับไอเดียเหล่านั้นจนพลาดโอกาสอันมหาศาลไป ตรงกันข้าม นวัตกรผู้ประสบความสำเร็จหลายคนเลือกที่จะใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาไอเดียของพวกเขาเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ไม่รู้ที่มักมีมากกว่าผู้ที่รู้จนประสบความสำเร็จมากมาย ยกตัวอย่างเช่นเรื่องราวต่อไปนี้

➜ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กลุ่มชนชั้นแรงงานในประเทศอังกฤษที่แต่เดิมต้องทำงานในวันธรรมดาโดยไม่มีวันหยุดพักร้อนได้รับของขวัญก้อนใหญ่จากรัฐบาลที่ออกนโยบายบังคับให้บริษัทต่างๆต้องให้วันลาพักร้อนแก่พนักงานเป็นเวลา 2 สัปดาห์ต่อปี แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือว่ากลุ่มชนชั้นแรงงานเหล่านั้นไม่รู้จักการพักร้อนมาก่อนจนทำให้เขาไม่รู้จะเอาเวลาที่ได้มาไปทำอะไรดี จนกระทั่ง Billy Butlin นักธุรกิจหัวใสได้คว้าโอกาสทางการตลาดนี้ด้วยการสร้างสถานที่พักผ่อนริมทะเลราคาประหยัดที่มีชื่อว่า Butlin’s ด้วยการเนรมิตค่ายทหารที่ไม่จำเป็นต้องใช้แล้วที่เขาซื้อมาในราคาถูกให้กลายมาเป็นรีสอร์ทที่ครอบครัวชนชั้นแรงงานสามารถมาใช้เวลาได้แบบเต็มสัปดาห์พร้อมกับคำโปรยแบบเข้าใจง่ายอย่าง “a week’s holiday for a week’s pay” หรือ “พักร้อน 1 สัปดาห์เต็มด้วยค่าแรงเพียงแค่ 1 สัปดาห์” จนเขาสามารถสร้างฐานลูกค้าได้นับล้านคนต่อปีในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุด

➜ ณ ฟุตบอลโลกปี 1966 เกมการแข่งขันอันร้อนระอุระหว่างประเทศอาร์เจนตินาและประเทศอังกฤษก็มาถึงจุดเดือดเมื่อกรรมการสัญชาติเยอรมันเป่าฟาวล์จนทำให้กัปตันทีมชาติอาร์เจนตินาในสมัยนั้นไม่พอใจและถกเถียงกันยาวนานกว่า 8 นาที ผู้ชมและนักข่าวก็ล้วนงงว่าทั้งสองคุยอะไรกัน ตัวกรรมการและนักเตะก็งงเพราะพวกเขาพูดกันไม่รู้เรื่องด้วยข้อจำกัดด้านภาษา เหตุการณ์นี้ได้ทำให้ Ken Aston ผู้รับผิดชอบทีมกรรมการทั้งหมดได้นำเอาปัญหานี้ไปคิดจนเขาได้นึกถึงสัญญาณไฟจราจรที่ทุกคนทั่วโลกเห็นก็จะเข้าใจเหมือนกันหมด อันเป็นที่มาของ “ใบเหลือง” และ “ใบแดง” ที่กรรมการทุกคนใช้ในการป่าวประกาศคำตัดสินใจอย่างสากลที่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นนักเตะหรือคนดูก็เข้าใจภายในเสี้ยววินาที

➜ ในปี 1986 บริษัทเดินรถไฟ Missouri, Kansas and Texas Raiload หรือ Katy กำลังเผชิญกับปัญหาการเงินอย่างหนัก อันเป็นเหตุให้ William Crush พนักงานผู้รับผิดชอบงานด้านการตลาดตัดสินใจทำกิจกรรมสุดประหลาดด้วยการจัดโชว์ “รถไฟชนกัน” ที่เขาจะนำเอารถไฟของบริษัทสองขบวนขับมาชนกันให้กับผู้ชมที่ต้องตีตั๋วรถไฟมาเข้าชมโดยเฉพาะ ซึ่งโครงการสุดสร้างสรรค์ของเขาก็ได้ผลเพราะมีผู้คนกว่า 40,000 คนเข้ามาร่วมชมกันอย่างคับคั่งเพื่อมาชมเหตุการณ์ที่ไม่น่ามีใครจะเคยได้เห็นมาก่อน ถึงแม้ว่าการชนกันครั้งนั้นจะมีเศษชิ้นส่วนกระเด็นไปทำให้มีคนเสียชีวิตและบาดเจ็บ แต่การจัดโครงการรถไฟชนกันก็ได้รับความนิยมจนกลายเป็นกิจกรรมยอดฮิตของชาวอเมริกันในช่วงเวลาหนึ่งเลยทีเดียว

➜ ผลิตภาพการทำฟาร์มของเกษตรกรนั้นขึ้นอยู่กับสภาพความอุดมสมบูรณ์ของดินที่ทำการเพาะปลูกเหล่านั้น แต่เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่ได้มีเงินพอที่จะจ้างนักวิทยาศาสตร์เข้ามาตรวจวัดคุณภาพดินของตัวเอง องค์กร Canadian Soil Association จึงได้ออกแคมเปญสุดสร้างสรรค์อย่าง #soilmyundies ที่เชิญชวนให้เกษตรกรเอา “กางเกงใน” เก่าๆของตัวเองไปฝังในดินนาน 2 เดือน ถ้าดินขาดความอุดมสมบูรณ์ กางเกงในของพวกเขาจะยังคงสภาพเดิมอยู่ แต่ถ้าดินนั้นเต็มไปด้วยความสมบูรณ์ กางเกงในที่ทำจากผ้าฝ้ายของพวกเขาจะถูกย่อยสลายไปจนหมด โครงการที่ให้ความรู้แบบง่ายๆที่ปนความตลกขบขันนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่เกษตรกรโดยที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องเข้าใจหลักการทางวิทยาศาสตร์ใดๆเลย

➜ ความไม่รู้ในการทำอาหารของ Joe Scaravella ผู้ที่ต้องการเปิดร้านอาหารอิตาเลียนแบบต้นตำรับในเกาะ Staten Island ทำให้เขาเกิดไอเดียใหม่ในการเชิญชวนให้บรรดา “คุณยาย” หรือ “nonna” ในภาษาอิตาเลียนที่คอยทำอาหารสูตรตันตำรับให้กับครอบครัวของตัวเองอยู่แล้วมาเป็นเชฟให้กับร้านอาหารของเขาที่มีชื่อว่า Enoteca Maria ซึ่งต่อมา เขาก็ได้ขยายคอนเส็ปต์เป็นการเชิญชวนคุณยายหลากหลายสัญชาติมาทำอาหารสูตรต้นตำรับแบบสลับวันกันจนเกิดเป็นคอนเส็ปต์ “Nonnas of the World” และสร้างฐานลูกค้าที่หมุนเวียนมาทานที่ร้านอาหารของเขาอย่างเนืองแน่นในทุกค่ำคืน

 

Butlin’s Skegness สถานตากอากาศราคาย่อมเยานอกเมือง London (source: Pinterest)

 


 

PART 4 | SIMPLE IS SMART, COMPLICATED IS STUPID

การทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่การนำเสนอไอเดียหรือการสร้างนวัตกรรมในรูปแบบที่เข้าใจได้ง่ายที่สุดนั้นล้วนได้ผลกว่าไอเดียที่ซับซ้อนและเข้าใจได้ยากอย่างแน่นอน นวัตกรที่ประสบความสำเร็จในอดีตจึงพยายามทำให้การสื่อสารถึงคุณค่าของนวัตกรรมของพวกเขานั้นสร้างความเข้าใจให้กับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างง่ายดายที่สุด ยกตัวอย่างเช่นเรื่องราวต่อไปนี้

➜ ในปี 1968 ณ ประเทศบังกลาเทศ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของอหิวาตกโรคที่คร่าชีวิตผู้คนหลายหมื่นคน นายแพทย์ชาวอเมริกันนามว่า David Nalin ได้คิดค้นนวัตกรรมในการรักษาชีวิตมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 เมื่อเขาค้นพบวิธีบรรเทาอาการขาดน้ำจากการท้องร่วงอย่างรุนแรงที่เป็นสาเหตุการตายหลักของชาวบังคลาเทศที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาแบบหยอดน้ำเกลือได้ด้วยการคิดค้นสูตรน้ำดื่มที่ช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูน้ำอย่างการผสมเกลือครึ่งช้อนชาและน้ำตาลหกช้อนชาเข้ากับน้ำสะอาดหนึ่งลิตรซึ่งล้วนเป็นวัตถุดิบที่มีในทุกครัวเรือน โดย David Nalin ได้คิดวิธีสื่อสารด้วยประโยคเด็ดอย่าง “a pinch of salt, a fistful of sugar, a jug of boiled water” ที่ชาวบ้านทุกคนสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดาย สูตรของ David Nalin ได้รับการประเมินว่าสามารถช่วยชีวิตคนมาแล้วมากกว่า 50 ล้านคนทั่วโลก

➜ ท่ามกลางสงครามในอดีตอันมากมาย ผู้นำหลายคนเลือกใช้คำพูดที่ยืดยาวในการเจรจาหรือข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม ยกตัวอย่างเช่น ในสงครามระหว่างพระเจ้า Philip II แห่งมาซิโดเนียกับชาวเมือง Sparta แห่งกรีกโบราณ พระเจ้า Philip II เลือกที่จะส่งจดหมายที่เขียนไว้ว่า “ถ้าข้าชนะสงคราม พวกเจ้าจะตกเป็นทาสตลอดชีวิต ดังนั้นจงยอมแพ้บัดเดียวนี้ ถ้าข้ายกพลบุกเข้าเมือง Sparta เมื่อไหร่ ข้าจะทำลายเมืองและคร่าชีวิตผู้คนของเจ้าให้ราบคาบ” แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว การสื่อสารที่เรียบง่ายนั้นมักสร้างพลังและความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งให้กับกำลังพลของตัวเองได้มากกว่า ดังเช่นชาวเมือง Sparta ที่ส่งจดหมายกลับไปตอบเพียงคำเดียวว่า “ถ้า” และหลังจากนั้นพระเจ้า Philip II ก็ไม่เคยตีเมือง Sparta ได้สำเร็จเลย

➜ หนึ่งในจุดพลิกผันของสงครามเย็นเกิดขึ้นหลังจากที่นาย Boris Yeltsin หนึ่งในสมาชิกสภาของสหภาพโซเวียตได้เดินทางมาเยือนประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 1989 เพื่อเข้าชมเทคโนโลยีต่างๆของอเมริกาที่ก็ไม่ได้แตกต่างจากของโซเวียตซักเท่าไหร่ ในวันเดินทางกลับประเทศ นาย Boris Yeltsin ก็ได้ขอให้ขบวนรถจอดในซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งในรัฐ Texas เพื่อเข้าชมความเป็นอยู่ที่แท้จริงของชาวอเมริกัน ซึ่งตัวเขาก็ต้องช็อคเมื่อเห็นว่าซุปเปอร์มาร์เก็ตของอเมริกานั้นเต็มไปด้วยอาหารมากมายและคนอเมริกันที่เขาคุยด้วยนั้นก็มีระดับการครองชีพที่ดีกว่าชาวโซเวียตอยู่มาก นาย Boris Yeltsin ได้เขียนในบันทึกของตัวเองไว้ว่าเขารู้สึกผิดอย่างแรงต่อชาวโซเวียต ในอีก 2 ปีต่อมา สหภาพโซเวียตก็ล่มสลายและตัวของนาย Boris Yeltsin เองก็ได้ขึ้นมาเป็นประธานธิบดีคนแรกของประเทศรัสเซียที่ตั้งขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการมองเห็นหลักฐานด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจนนั้นง่ายกว่าการการนั่งอ่านรายงานอันยาวเหยียดในห้องประชุมหรือการเปรียบเทียบเทคโนโลยีอันแสนซับซ้อนอย่างแน่นอน

 

Boris Yeltsin ระหว่างการเยี่ยมเยียนซุปเปอร์มาร์เก็ตของสหรัฐอเมริกา (source: Chron)

 


 

PART 5 | THE POWER OF AN OPEN MIND

เมื่อมนุษย์ยอมรับในความไม่รู้ของตัวเอง เมื่อนั้นมนุษย์จะเปิดใจกล้าที่จะทำในสิ่งใหม่ที่ทั้งตัวเองและคนอื่นอาจไม่เคยได้ลองทำมาก่อนและเมื่อนั้นองค์ความรู้ใหม่ก็จะเกิดขึ้น นวัตกรรมหลายครั้งก็เกิดขึ้นจากเหล่านวัตกรที่เผชิญหน้ากับความรู้ใหม่อย่างเปิดใจและใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการต่อยอดความรู้เหล่านั้น ยกตัวอย่างเช่นเรื่องราวต่อไปนี้

➜ Daryl Davis นักเปียโนชาวแอฟริกันอเมริกันถือเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่สามารถเปลี่ยนความคิดของผู้อื่นได้ดีที่สุด หลังจากที่เขาสามารถเปลี่ยนความคิดของชาวอเมริกันผิวขาวผู้เป็นสมาชิกของ Ku Klux Klan ที่เหยียดชาวผิวดำอย่างรุนแรงมากกว่า 200 คนด้วยการพูดคุยด้วยเหตุผลให้พวกเขาเหล่านั้นเปิดใจและเริ่มตั้งคำถามกับความคิดของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น กรณีสมาชิกคนหนึ่งที่บอกกับ Daryl Davis ว่ายีนส์ของชาวผิวดำนั้นแฝงไปด้วยความรุนแรงที่รอคอยการเปิดเผยตัวออกมา Daryl Davis ก็เลยตั้งคำถามกลับไปว่าเขาไม่เคยเห็นข่าวฆาตกรต่อเนื่องเป็นชาวผิวดำเลย ทุกคนล้วนเป็นชาวผิวขาวทั้งสิ้น ถ้าอย่างนั้น ยีนส์ของชาวผิวขาวนั้นก็แฝงไปด้วยยีนส์ของฆาตกรต่อเนื่องที่รอคอยการเปิดเผยตัวออกมานะสิ คำถามปลายเปิดที่ชวนให้พูดคุยเพื่อคิดหาคำตอบนั้นคือเครื่องมือชั้นเลิศในการเปลี่ยนใจผู้ที่เห็นต่างจากเรา

➜ เมื่อตลาดแก้วไวน์ที่ทุกแก้วหน้าตาคล้ายๆกันหมดเริ่มอิ่มตัว นักธุรกิจชาวออสเตรียนามว่า Claus Riedel ก็เริ่มเปิดใจตั้งคำถามถึงโอกาสที่ไม่เคยมีใครคิดถึงมาก่อนอย่างการพัฒนา “แก้วไวน์สำหรับไวน์แต่ละชนิด” โดยเฉพาะ ซึ่ง Claus Riedel ได้ใช้ประโยชน์จากความเชื่อของคอไวน์ที่ล้วนมองการดื่มไวน์เป็นวัฒนธรรมอันแสนซับซ้อนที่มีเพียงไม่กี่คนจะเข้าใจได้จนสามารถสร้างตลาดแก้วไวน์สำหรับไวน์แต่ละชนิดที่เติมให้วัฒนธรรมการดื่มไวน์ซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีกได้สำเร็จ

➜ ณ การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกส์ฤดูหนาวปี 2002 การคิดนอกกรอบของ Ann Zhang โค้ชของ Steven Bradbury นักกีฬาสเก็ตน้ำแข็งที่ต้องลงแข่งกับคู่ต่อสู้อีกสี่คนที่ล้วนเก่งกว่าเขาก็ได้สร้างผลสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ โดย Ann Zhang ได้แนะนำ Steven Bradbury ให้สเก็ตห่างจากนักกีฬาสุดแกร่งทั้งสี่คนประมาณ 15 เมตรเพราะนักกีฬาสี่คนนั้นน่าจะหวังชิงเหรียญทองทั้งหมดจนอาจทำให้พวกเขาปะทะกันจนบางคนล้มลง ซึ่งในวันที่แข่งขันจริง ทั้งสี่คนก็ปะทะกันในช่วงโค้งสุดท้ายและทำให้ Steven Bradbury ที่หวังเพียงเหรียญทองแดงสามารถคว้าเหรียญทองได้สำเร็จ นี่คือตัวอย่างของการเปิดใจคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องเป็นที่หนึ่งเสมอไปและใช้ประโยชน์จากการทำให้คู่แข่งอันดับหนึ่งช่วยให้เราชนะได้ ซึ่ง Pepsi ก็นำเอาแนวคิดนี้ไปใช้อย่างได้ผลด้วยการเปิดเผยผลวิจัยว่าถึงแม้ผู้คนจะชอบแบรนด์ Coke มากกว่า Pepsi แต่พวกเขานั้นชอบรสชาติของ Pepsi มากกว่า Coke จนทำให้ Coke ต้องออกมาประกาศปรับปรุงสูตรซึ่งถือเป็นการยอมรับต่อรสชาติที่สู้ Pepsi ไม่ได้และ Pepsi ก็ได้ประโยชน์จากการประกาศของ Coke ไปอย่างเต็มๆ

➜ เมื่อ 20 ปีก่อน รถยนต์ยี่ห้อ Subaru นั้นกำลังประสบปัญหาอย่างมากในด้านยอดขายในประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้บริหารของค่ายจึงลงทุนทำเซอร์เวย์เพื่อมองหาจุดเด่นของ Subaru ในหมู่ลูกค้าจนพบเข้ากับข้อมูลอันน่าทึ่งว่าผู้ใช้งาน Subaru ส่วนใหญ่นั้นเป็นกลุ่มเลสเบียนและ LGBT ซึ่งไม่เคยมีบริษัทรถยนต์คนไหนให้ความสำคัญมาก่อน ซึ่งต่อมา Subaru ก็ได้ออกแคมเปญโฆษณาต่างๆมากมายเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายนี้และเริ่มสนับสนุนแคมเปญที่เกี่ยวข้องกับ LGBT กลุ่มต่างๆจนสามารถสร้างการเติบโตในสหรัฐอเมริกาได้เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย

 

Maximilian Riedel หลานชายของ Claus Ridel ที่ยังคงคิดค้นภาชนะใส่ไวน์ใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง (source: Club Oenologique)

 


 

PART 6 | IGNORANCE WE CAN FIX, STUPID WE CAN’T

นวัตกรที่ประสบความสำเร็จมักเข้าใจว่าความโง่เขลาของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ยาก แทนที่พวกเขาจะเอาเวลาไปพยายามลดความโง่เขลาของมนุษย์ลง พวกเขากลับเลือกที่จะเอาเวลาไปป้องกันไม่ให้ความโง่เขลาจากการตัดสินใจที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่องของมนุษย์เหล่านั้นเกิดขึ้น ตรงกันข้าม นวัตกรผู้ล้มเหลวมักที่จะหลงลืมป้องกันความโง่เขลาของมนุษย์อันนำมาสู่ความเสียหายอันมหาศาล ยกตัวอย่างเช่นเรื่องราวต่อไปนี้

➜ หนึ่งในความแตกต่างสำคัญของเรือดำน้ำของฝ่ายสัมพันธมิตรกับเรือดำน้ำ U-boat ของเยอรมันก็คือ “ห้องน้ำ” โดยเรือดำน้ำของฝ่ายพันธมิตรได้ออกแบบระบบการขับถ่ายของเสียของลูกเรือไว้อย่างดีแต่เรือ U-boat กลับเลือกที่จะไม่เสียพื้นที่ของเรือไปกับการกักเก็บของเสียและพัฒนาวาวล์ความดันสองชั้นสำหรับใช้ปล่อยของเสียออกไปนอกเรือขณะอยู่ใต้น้ำแทน ปัญหาอย่างเดียวของระบบนี้ก็คือว่าถ้าคนปล่อยของเสียเกิดเผลอเปิดวาวล์สองอันพร้อมกัน น้ำทะเลก็จะทะลักเข้ามาในเรืออย่างรวดเร็ว และเหตุการณ์ที่โง่เขลาก็ได้เกิดขึ้นกับ U-boat หมายเลข U1206 ที่นายกัปตันเรือเผลอจนทำให้น้ำทะลักซัดซากอุจจาระเข้ามาในเรือจนเรือต้องตัดสินใจขึ้นไปบนน่านน้ำและถูกจับโดยกองทัพสัมพันธมิตรในทันที บทเรียนเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าถ้าเราสามารถป้องกันความผิดพลาดของมนุษย์ที่อาจมีผลร้ายแรงตามมาได้ เราก็ควรจะทำมันซะ

➜ Bill Burr ชายผู้ออกแนวทางการตั้ง password ความปลอดภัยสูงที่พวกเราคุ้นเคยกันในปัจจุบันอย่างการบังคับให้มีตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ ตัวเลขและตัวอักษรสัญลักษณ์อย่างน้อย 1 ตัวอักษรนั้นได้ออกมายอมรับแล้วว่าวิธีการดังกล่าวไม่ได้เป็นวิธีการกำหนด password ที่ดีที่สุดอีกต่อไป เพราะในตอนนั้น นโยบายของเขาถือว่าเหมาะสมกับการป้องกันการถูกแฮ็คจากมนุษย์ด้วยกันเอง แต่ปัจจุบัน การแฮ็ค password ส่วนใหญ่ถูกกระทำโดยโปรแกรมที่สามารถป้อนรูปแบบการใช้ตัวเลขหรือสัญลักษณ์ยอดนิยมของมนุษย์ได้ เช่น 4 แทนคำว่า for, 0 แทนตัว O หรือ $ แทนตัว S ซึ่งเขาได้แนะนำว่าวิธีการตั้ง password ที่ดีกว่าก็คือการตั้งเป็นประโยคหรือวลียาวๆที่เจ้าของ username จำได้ง่ายๆจะดีกว่า แต่ก็น่าเสียดายที่เว็ปไซต์แทบทั้งหมดในปัจจุบันก็ยังคงใช้แนวทางการตั้ง password แบบเดิมของเขาโดยไม่บังคับจำนวนตัวอักษรให้ต้องมีซัก 15-20 ตัวเป็นอย่างต่ำ

➜ ในปี 1995 คณะกรรมการความปลอดภัยเรื่องยาของสหราชอาณาจักรได้นำเสนอผลงานวิจัยล่าสุดที่พวกเขาพบว่ายาคุมกำเนิดนั้นส่งผลให้ผู้หญิงมีอาการลิ่มเลือดเพิ่มสูงขึ้นจาก 014% เป็น 0.028% ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้น 2 เท่าแต่มันก็ไม่ใช่ตัวเลขที่น่าเป็นห่วงอะไร แต่แล้ว ปัญหาก็ตามมาเมื่อบรรดาสำนักพิมพ์กลับเลือกที่จะเน้นลงพาดหัวข่าวเรียกแขกว่ายาคุมทำให้เกิดลิ่มเลือดเพิ่ม 2 เท่าซึ่งทำให้ผู้หญิงอังกฤษจำนวนมากหวาดกลัวและมีรายงานการท้องแบบไม่ตั้งใจเพิ่มขึ้นถึง 13,000 เคสภายในหนึ่งปีเพียงเพราะผู้หญิงเหล่านั้นกลัวการใช้ยาคุมมากเกินเหตุ ดังนั้น ผู้ที่คุมเรื่องราวต่างๆต้องคำนึงถึงความโง่เขลาอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์และวางรูปแบบการสื่อสารเพื่อให้มนุษย์กระทำพฤติกรรมที่เหมาะสมที่สุด

➜ ความโง่เขลาของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นได้ในทุกระดับชั้น ซึ่งรวมไปถึงกลุ่มแพทย์ฝีมือดีที่สุดของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ถูกเรียกตัวมาเพื่อรักษาอาการหลอดลมอักเสบของ George Washington ประธานธิบดีคนแรกของประเทศในวัยชรา นายแพทย์ทุกคนเลือกใช้วิธีการรักษาเดียวที่พวกเขารู้จักในตอนนั้นก็คือการใช้ปลิงดูดเลือดดูดเลือดของ George Washington ออกไปเรื่อยๆ พออาการไม่ดีขึ้น นายแพทย์คนใหม่ก็ถูกเรียกเข้ามาและสั่งการดูดเลือดด้วยปลิงในลักษณะเดิมเป้ะๆ จนท้ายที่สุด George Washington ก็โดนดูดเลือดไปเกือบครึ่งตัวและเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยแพทย์ต่างลงความเห็นตรงกันว่าหากพวกเขาหยุดการดูดเลือดลง ประธานธิบดีคนแรกของประเทศก็อาจรอดชีวิตก็เป็นได้

 

ภาพวาดของบรรยากาศก่อนการเสียชีวิตของ George Washington (source: History.com)

 


 

PART 7 | REAL IGNORANCE BEATS FALSE KNOWLEDGE

การยอมรับในความไม่รู้ของตัวเองและกล้าที่จะเผชิญหน้ากับมันมักจะนำไปสู่การถือกำเนิดขององค์ความรู้ใหม่ๆและความคิดสร้างสรรค์อยู่เสมอ แต่ในทางกลับกัน การยึดมั่นในองค์ความรู้ที่ผิดๆของตัวเองโดยไม่ยอมเปลี่ยนแปลงนั้นคือหนทางแห่งหายนะอย่างแท้จริงที่สร้างความเสียหายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ยกตัวอย่างเช่นเรื่องราวต่อไปนี้

➜ ถึงแม้ว่าบริการ ride sharing อย่าง Uber นั้นจะเปิดให้บริการใน London มาตั้งแต่กลางปี 2012 แต่ไม่ว่าผู้บริหารจะพยายามโปรโมตการใช้บริการที่ถือว่าใหม่มากให้ชาวอังกฤษฟังเท่าไหร่ พวกเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จนกระทั่งในปี 2014 เหตุการณ์ที่ทำให้ Uber มียอดผู้ใช้งานพุ่งเป็นพลุแตกก็เกิดขึ้นเมื่อกองทัพคนขับรถแท็กซี่สีดำที่เป็นสัญลักษณ์ของ London ได้ร่วมตัวกันปิดถนนเพื่อประท้วง Uber โดยที่พวกเขาคาดหวังว่าการกระทำของเขาจะทำให้ Uber ได้รับความเสียหาย แต่ผลที่เกิดขึ้นกับเป็นตรงกันข้ามเพราะ Uber กลายมาเป็น talk of the town อย่างรวดเร็ว กลยุทธ์ในการประท้วงของคนขับแท็กซี่ที่อาจเคยใช้ได้ในยุคสมัยหนึ่งนั้นไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไปแล้วในโลกปัจจุบัน องค์ความรู้ของพวกเขาไม่ได้อัพเดทและส่งผลเสียหายให้กับพวกเขาเองอย่างรุนแรง

➜ เรื่องราวทำนองเดียวกันเกิดขึ้นในปี 1989 เมื่อกองทัพนักเขียนบทได้รวมตัวกันประท้วงสถานีโทรทัศน์ต่างๆทั้วประเทศสหรัฐอเมริกา อันเป็นเหตุให้ทีมงานของ Fox TV เริ่มคิดหารายการทีวีที่ไม่จำเป็นต้องใช้คนเขียนบทจนได้ออกมาเป็นรายการ COPS ที่ตามติดชีวิตการทำงานของตำรวจในแต่ละเมืองตามความเป็นจริงซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายจนกลายมาเป็นรายการทีวีที่มีการฉายต่อเนื่องยาวนานที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ การประท้วงของนักเขียนบทจบลงด้วยการเกิดขึ้นของรายการแบบ real-life show ที่ไม่ต้องว่าจ้างนักเขียนบทอีกต่อไป

➜ จุดเริ่มต้นของอาณาจักร Dow บริษัทผู้ผลิตสารเคมีอันดับต้นๆของโลกนั้นเริ่มต้นขึ้นในปี 1891 เมื่อผู้ก่อตั้งบริษัทอย่างนาย Herbery Henry Dow ได้คิดค้นวิธีการผลิตสารเคมี bromine ที่ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของผลิตภัณฑ์จำนวนมากได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าเจ้าตลาดเดิมอย่าง Bromkonvention ได้ ซึ่ง Dow ก็ขาย bromine ในราคาเพียง 36 เซ็นต์ต่อปอนด์เมื่อเทียบกับเจ้าตลาดเดิมที่ขายในราคา 49 เซ็นต์ต่อปอนด์ ในสมัยนั้น กฎเกณฑ์การแข่งขันของบริษัทยังไม่ได้เข้มงวดเหมือนในปัจจุบัน Bromkonvention จึงได้ตั้งราคาขาย bromine แบบขาดทุนยับที่ 15 เซ็นต์ต่อปอนด์ในประเทศอเมริกาเพื่อพยายามฆ่าคู่แข่งรายใหม่นี้ แต่ผลปรากฎว่า Dow กลับเลือกใช้กลยุทธ์อันแสนฉลาดในการยอมถูกกดราคาและซื้อต่อ bromine ในตลาดอเมริกาของ Bromkonvention จำนวนมากเพื่อขนไปขายต่อในทวีปยุโรปจนได้กำไรมหาศาลและทำให้ Bromkonvention ก็ต้องยอมแพ้ไปในที่สุด

 

COPS รายการทีวีที่มีมาแล้วกว่า 33 ซีซั่น (source: pinimg)

 


 

PART 8 | THE TRAP OF THINKING WE KNOW

มนุษย์และองค์กรจำนวนมากต้องตกอยู่ในกับดักทางความคิดที่ต่างคิดว่าพวกเขานั้นมีองค์ความรู้ที่ครบถ้วนอยู่แล้วจนทำให้พวกเขาพลาดโอกาสในการทดลองทำสิ่งใหม่ๆไปอย่างน่าเสียดาย ตรงกันข้าม นักนวัตกรและองค์กรจำนวนไม่น้อยก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการคิดต่างจากคนอื่น ยกตัวอย่างเช่นเรื่องราวต่อไปนี้

➜ ท่ามกลางความกังวลต่อมหาภัยพิบัติทางเศรษฐกิจในยุคมืดที่เรียกว่า The Great Depression ในช่วงปี 1929 องค์กรจำนวนมาต่างยอมแพ้ ลดการลงทุนและแข่งกันปลดพนักงานออกเป็นจำนวนมาก ตรงกันข้าม Thomas Watson ประธานบริษัท IBM กลับเลือกที่จะเดินออกจากกับดักทางความคิดของคนอื่นและตัดสินใจรักษาพนักงานทั้งหมดพร้อมกับการลงทุน “วิจัยและพัฒนา” อย่างต่อเนื่อง จนเมื่อเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเริ่มฟื้นตัว บริษัท IBM ก็กลายมาเป็นเจ้าตลาดของเครื่องคำนวณและคอมพิวเตอร์ในเวลาต่อมาได้อย่างยาวนาน

➜ คุณรู้หรือไม่ว่า “หมวกคาวบอย” ที่พวกเราเห็นในภาพยนตร์ต่างๆนั้นแท้จริงแล้วเกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 หลังจากยุครุ่งเรืองของวัฒนธรรมคาวบอยเป็นร้อยปี โดยฝีมือของ John B. Stetson ที่พยายามคิดค้นหมวกที่สามารถใช้ป้องกันแดดอันร้อนระอุด้วยการออกแบบทรงหมวกที่กว้างและมีพื้นที่ด้านบนเพื่อให้อากาศหมุนเวียนเข้ามาช่วยกันความร้อนให้กับแรงงานที่ต้องทำงานกลางแจ้ง โดยหมวก Stetson นั้นได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและมีรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์จนทำให้วงการฮอลลีวู้ดหยิบเอามาใช้เป็นตัวแทนของคาวบอยที่เห็นปุ้บก็รู้ทันทีว่านักแสดงที่สวมหมวก Stetson นั้นคือคาวบอย แนวทางการออกแบบหมวกที่แตกต่างจากคนอื่นๆของ Stetson นั้นนอกจากจะสร้างความสำเร็จเชิงธุรกิจมากมายแล้ว ยังสร้างสัญลักษณ์ของประเทศอเมริกาขึ้นมาอีกหนึ่งชิ้นได้อย่างบังเอิญอีกด้วย

➜ ในปี 1978 เหตุการณ์อุบัติเหตุระเบิดของถังน้ำมันรถยนต์ Ford Pinto ที่จบลงด้วยการเสียชีวิตของวัยรุ่นสามคนได้นำมาสู่การฟ้องคดีของครอบครัวผู้เสียชีวิตที่สร้างความเสียหายอย่างมากให้กับ Ford ซึ่งถือเป็นบริษัทรถยนต์อันดับต้นๆของอเมริกา เมื่อ Ford ได้ให้เหตุผลว่าพวกเขาล่วงรู้อยู่แล้วว่ารถยนต์ Ford Pinto มีจุดบกพร่องอยู่และสามารถซ่อมได้ด้วยเงินเพียง 11 ดอลลาร์ แต่สาเหตุที่พวกเขาไม่เรียก Ford Pinto ทั้งหมด 11 ล้านคันกลับมาซ่อมนั้นก็เพราะว่าค่าใช้จ่ายโดยรวมทั้งหมดนั้นแพงกว่าค่าชดใช้จากการถูกฟ้องคดีที่พวกเขาคาดการณ์ว่าปัญหานี้น่าทำให้มีคนตายไม่เกิน 180 คน แนวทางการสู้คดีในลักษณะนี้ได้รับการยอมรับในชั้นศาล แต่สิ่งที่ผู้บริหารของ Ford ไม่ได้คาดคืดก็คือผลลัพธ์ที่จะตามมาอย่างชื่อเสียงที่พังย่อยยับและสุดท้าย Ford Pinto ก็ถูกเรียกกลับไปซ่อมทุกคันอยู่ดี หาก Ford ไม่ตกอยู่ในกับดักของความถูกต้องทางกฎหมายแล้ว พวกเขาอาจมองเห็นว่าการตัดสินใจของพวกเขานั้นผิดต่อหลักการจริยธรรมอย่างชัดเจน

 

Donald Trump กับหมวก Stetson (source: THV11)




<<< ติดตาม [สรุปหนังสือ] เล่มอื่นๆต่อได้ทางนี้เลยครับ [CLICK] >>>

 

<<< ที่สำคัญ อย่าลืมกดไลค์ Panasm’s Facebook Page เพื่อติดตามอัพเดทใหม่ๆของผมนะครับ [CLICK] >>>

 

<<< ปิดท้าย สิ่งที่ผมทำสรุปมานั้นเป็นเพียงแค่เนื้อหาส่วนที่ผมสนใจที่สุดของหนังสือเล่มนี้ สำหรับเพื่อนๆที่ถูกใจสรุปของหนังสือเล่มนี้ อย่าลืมซื้อหนังสือเล่มเต็มและอุดหนุนผู้เขียนกันด้วยนะครับ ขอบคุณที่ติดตามครับผม >>>

 

Be the first to comment

Leave a Reply

Your email address will not be published.


*